วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สถานการณ์ประชาธิปไตยไทย2558

"วิกฤติวังผูกติดวิกฤติประชาธิปไตย"
1มกราคม 2558
โดย...กลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.)

ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่กองกำลังฝ่ายราชสำนักหวลกลับเข้าครองอำนาจเหนือฝ่ายคณะราษฎรและรวบอำนาจประเทศอย่างเบ็ดเสร็จนับแต่ปี2500เป็นต้นมาพร้อมทั้งจัดระบบอำนาจแฝงของกษัตริย์ในลักษณะ"มือที่มองไม่เห็น"จนการปกครองไทยได้กลายเป็นระบอบราชาธิปไตยและได้สร้างวิกฤติสะสมจนถึงวันนี้ไม่มีทางออกนอกจากจะเกิดการพังทะลายของระบอบราชาธิปไตยเอง

ตลอดเวลา50กว่าปีที่ผ่านมากษัตริย์ภูมิพลได้เพิ่มทวีอำนาจแฝงด้วยการโยนบาปความวุ่นวายของสังคมการเมืองไทยที่ตัวเองมีส่วนสำคัญในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังวิกฤติว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับทหารนั้นวันนี้ได้ปรากฎชัดแล้วว่าความขัดแย้งหลักของสังคมไทยคือความขัดแย้งระหว่างวังกับประชาชนคือ"วังไม่ยอมให้อำนาจเป็นของประชาชน"และล่าสุดจุดประทุที่สร้างตาสว่างทั้งแผ่นดินเมื่อใกล้สิ้นรัชกาลที่9คือความขัดแย้งแย่งชิงราชสมบัติระหว่างสมเด็จพระบรมฯและสมเด็จพระเทพฯอันเป็นบาปเคราะห์มาจากการรวมศูนย์อำนาจไว้กับราชสำนัก

ในช่วง10ปีที่ผ่านมาฝ่ายวังได้ใช้ลูกสมุนกลุ่มพันธมิตรและประชาธิปัตย์ร่วมก่อจราจลอย่างชัดแจ้งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้นำกองกำลังทหารสุนัขรับใช้ก่อรัฐประหารโค่นล้มอำนาจภายใต้วาทกรรมว่า"การเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย"ครั้งแล้วครั้งเล่าและปั้นพยานเท็จด้วยคำว่า"ทักษิณคือวิกฤติของประเทศ"แต่วันนี้บ่วงบาศที่วังได้เหวี่ยงใส่ทักษิณและระบอบประชาธิปไตยได้ย้อนกลับเข้าผูกแข้งผูกขามัดวิกฤติของวังเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ขนานนามว่า"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"ทำให้เป้าโจมตีที่เคยรวมศูนย์อยู่ที่ตัวพตท.ทักษิณเคลื่อนไปสู่วิกฤติของวัง,ถึงวันนี้ไม่มีคำอธิบายแล้วว่าทำไมสังขารของกษัตริย์ภูมิพลที่ไม่สามารถจะบริหารประเทศได้แล้วแต่ทำไมจึงไม่ยอมถ่ายอำนาจไปสู่รัชกาลใหม่?,คำตอบเดียวที่ประชาชนไทยและคนทั้งโลกเข้าใจได้คือเกิดการแย่งชิงราชสมบัติภายในวังจนไม่อาจจะสถาปณารัชกาลที่10ได้นั่นเอง

แม้ก่อนสิ้นปีกษัตริย์ภูมิพลจะพยามลากสังขารออกมาโชว์ว่าตัวเองยังไม่ตายตามข่าวลือแต่สภาพที่เห็นก็ฟ้องตัวเองว่าหมดสภาพและหมดสติสัมปชัญญะแล้วเพราะตลอดเวลาของการถ่ายทอดร่างชายแก่ที่นั่งบนรถเข็นไม่อาจจะขยับอะไรได้แม้แต่การหันหน้าหรือขยับปากที่อ้าอยู่ตลอดเวลา

รูปธรรมที่ฟ้องตัวเองเด่นชัดคือรัฐประหาร22พฤษภาคม2557ที่คนสายพระเทพฯเช่นอธิการบดีหลายมหาวิทยาลัยที่นำมวลชนออกสมทบร่วมก่อจราจลกับกลุ่มกปปส.และแกนนำอาจารย์ลูกสมุนพระเทพฯที่แสดงตัวสนับสนุนการรัฐประหารก็ได้ขึ้นคุมสภาทั้งสอง,รวมทั้งการเตรียมการขึ้นดำรงตำแหน่งรัชกาลที่10ด้วยการปลดภาระที่เป็นเครื่องถ่วงหลังของพระบรมฯโดยจำเป็นต้องใช้พระวรฉายาศรีรัศมิ์เป็นแพะบูชายันต์และล่าสุดพลเอกเปรมประธานองคมนตรีก็ออกมารับสารภาพในโอกาสที่พลเอกประยุทธ์นำคณะเข้าเยี่ยยมคารวะอย่างมีเลศนัยว่า"พลเอกประยุทธ์ทำรัฐประหารเพื่อกษัตริย์ภูมิพล"

วิกฤติของวังจึงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองตลอดปี2558โดยเฉพาะในครึ่งปีแรกที่อาจจะต้องเกิดการเปลี่ยนอำนาจครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ภาวะการหมดสภาพของกษัตริย์ภูมิพลแต่กลับถูกลากดึงเพียงเพื่อใช้ชื่อกล่าวอ้างในฐานะประมุขแห่งรัฐต่อไปเพราะความไม่ลงตัวของความขัดแย้งภายในวังเช่นนี้ได้กลายเป็นตัวเร่งทำลายเศรฐกิจที่จะส่งผลให้เกิดการพังทะลายของระบอบราชาธิปไตยหนักหน่วงยิ่งขึ้นเพราะนับแต่นี้ไปกฎหมายและเอกสารของรัฐทั้งหมดที่มีลายเซ็นของกษัตริย์ในฐานะประมุขล้วนเป็นเอกสารปลอมทั้งสิ้นเพราะกษัตริย์ภูมิพลไม่อาจจะพิจารณาและจับปากกาลงนามได้แล้ว

วิกฤติความขัดแย้งในราชสำนักครั้งนี้มีนัยยะสำคัญทำให้ประชาชนตาสว่างถึงขั้นที่ประชาชนต้องเลือกเอาว่าจะเอาประชาธิปไตยหรือราชาธิปไตยเพราะวังและอำมาตย์ได้ปิดประตูทางออกของระบอบประชาธิปไตยแล้ว,โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาชนผู้ทุกข์ยากได้เข้าใจแล้วว่าความทุกข์ยากของพวกเขาเป็นผลโดยตรงจากความเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกของกษัตริย์ภูมิพล

นับแต่การปฏิเสธที่ไม่สามารถออกมาปรากฎพระองค์ต่อสาธารณชนในวันที่5ธันวาคมที่ผ่านมาท่ามกลางความขัดแย้งแย่งชิงราชบัลลังก์ของทั้งสองฝ่ายได้กลายเป็นจุดอันตรายที่สุดของวังที่จะนำไปสู่การพังทะลายของศรัทธาทั้งสมเด็จพระบรมฯและสมเด็จพระเทพฯไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นรัชกาลที่10เพราะประชาชนได้รู้ความจริงแล้วว่าผู้ที่มักมากในอำนาจทางการเมืองอย่างไร้ขอบเขตตัวจริงเสวยอำนาจอย่างมูมมามและไร้ศีลธรรมที่สุดไม่ใช่นักการเมืองและทหารแต่เป็นคนในครอบครัวกษัตริย์ที่หลอกหลวงประชาชนมายาวนานว่าเป็นผู้มีแต่ความพอเพียงนั่นเอง

ความขัดแย้งของวังได้เปิดช่องทางให้กลุ่มทหารภายใต้การนำของกลุ่ม3ป.(ประวิทย์-ป๊อก-ประยุทธ์) หาผลประโยชน์โดยฉกฉวยตักตวงอย่างตะกะตะกามโดยการอ้างสังขารกษัตริย์บังหน้าจะส่งผลให้การร่างรัฐธรรมนูญต้องขยายเวลาออกไปเกินกว่า1ปีตามเวลาที่คสช.เคยสัญญาไว้กับประชาชนเพราะคสช.จำเป็นจะต้องแน่ชัดว่าใครจะเป็นรัชกาลที่10เพราะรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องสอดคล้องและหนุนเนื่องอำนาจของรัชกาลใหม่ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนซึ่งภาวะความยืดเยื้อภายใต้ภาวะไร้ประมุขแห่งรัฐนี้จะกลายเป็นการเพิ่มทวีความขัดแย้งของฝ่ายต่างๆซึ่งจะทำให้คสช.เกิดความหวาดกลัวและฉวยโอกาสคงอำนาจกฎอัยการศึกไว้ถาวรซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจการลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

ในภาวะวิกฤติของวังเช่นนี้ได้ทำให้ความคาดหวังที่จะมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้เลยเพราะภาระกิจของการร่างรัฐธรรมนูญที่สมาชิกสภาร่างทุกคนเข้าใจคือต้องทำให้อำนาจพรรคการเมืองและอำนาจของประชาชนอ่อนแอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อมิให้เกิดการแข่งขันอำนาจกับการเถลิงถวัลศกใหม่ของรัชกาลใหม่ 

ปีใหม่2558จะกลายเป็นปีที่ปั่นป่วนยิ่งขึ้นกว่าปี2557จากภาวะความขัดแย้งที่ไม่ลงตัวและยากอย่างยิ่งที่จะลงตัว    
----------จบ----------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น