วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กระดุมเม็ดแรกผิดของสหพันธรัฐไท

ศิวา มหายุทธ์
กรกฎาคม 2560
-------------------------

ท่ามกลางความน่ายินดีที่กระแสต้อนรับแนวทางการสร้างรัฐใหม่"สหพันธรัฐ" ภายใต้แนวทาง"มวลประชาใหญ่ รัฐเรียวเล็ก" เพื่อมาเป็นกรอบทดแทนโครงสร้างรัฐรวมศูนย์"รัฐใหญ่ครอบสังคม ชาติเหนือมวลประชา"สำหรับสังคมปัจจุบัน มีสิ่งที่ผู้เขียนขอย้ำด้วยความตระหนักตั้งแต่เริ่มต้นยามนี้คือ แนวทางนี้กำลังเริ่มต้นด้วยการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดที่จำต้องทักท้วง
ก่อนที่จะกลัดกระดุมเม็ดต่อๆไปจนผิดเพี้ยนมากขึ้นจนกู่ไม่กลับ

ที่ว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิดคือ การประกาศจัดตั้งองค์กร "สหพันธรัฐไท"โดยเพื่อนร่วมขบวนการประชาธิปไตยต่างประเทศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถือว่าเพียงแค่ชื่อ ก็ทำให้เจตนารมณ์ของสหพันธรัฐในอนาคตบิดเบี้ยวเสียแล้ว
เหตุผลสำคัญคือ ความเข้าใจผิดพลาด ในการใช้คำว่า ไท หรือ ไทย ซึ่งเป็นเกณฑ์วินิจฉัยและตัดสินใจ ด้วยหลักสำคัญเรื่องชนชาติ ไม่ได้ใช้หลักเกณฑ์พื้นที่หรือดินแดน

คำว่า ชนเผ่าไท มีความเข้าใจมายาวนานว่า หมายถึงชนเผ่าหนึ่งในดินแดนที่มีคนต่างชาติพันธุ์อยู่ร่วมปะปนกันมายาวนานในรูป”พหุสังคม”อย่างซับซ้อนกันในดินแดน ที่เคยถูกเรียกกันมานานกว่า 1 พันปีว่า สยาม

การเรียกชื่อประเทศว่า ไท (ไทย) ตอกย้ำความหมายชัดเจนว่า ประเทศดังกล่าวได้เกิดปรากฏการณ์ที่ ชนชาติพันธุ์หนึ่ง ที่เป็นเผ่า ไท(ไทย) ได้สถาปนาอำนาจนำเหนือชาติพันธุ์อื่นๆ แทนที่คำว่า สยามประเทศ เกิดขึ้น โดยเบื้องหลังที่เคยเกิดขึ้นจากเจตนาที่ผิดพลาดของแนวคิดที่โน้มเอียงไปตามกระแสสูงของอิทธิพลพรรคนาซีเยอรมนีในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง  โดยปีกทหารและแกนนำขวาจัดในคณะราษฎรที่คลั่งแนวคิดแบบคลั่งชาติ ในยุคที่มีจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นผู้นำ
เจตนาของการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยาม เป้น ไทย ยุคจอมพลแปลก เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 หรือ 78 ปีที่ผ่านมานี้เอง เพื่อเน้นการสร้างอหังการทางชนชาติ โดยอ้างคำว่า ไท (ไทย) มีความหมายถึง อิสรชนทั้งจิตใจและพฤติกรรม ซึ่งบางครั้งถูกนำไปตีความทางลบเช่นว่า ทำได้ตามใจ คือ ไทยแท้ เป็นต้น
   ​สยามประเทศในอดีตที่เป็นแหล่งรวมของชาติพันธ์หลากหลาย นับตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อประเทศ จึงกลายเป็นดินแดนที่ชาติพันธุ์ไท หรือ ไทย แสดงอหังการ ครอบงำชาติพันธุ์อื่น และเป็นต้นธารของความขัดแย้งที่มีอำนาจรัฐรวมศูนย์ เป็นเครื่องมือในการกดขี่ทางชาติพันธุ์ และชนชั้นอย่างแยกไม่ออกโดยปริยาย
อหังการของคำว่าไท หรือ ไทย ถูกตีความเข้มข้นมากขึ้นถึงขั้นคนไทยที่นับถือพุทธหีนยานบางกลุ่ม ถึงขั้นยกระดับสร้างแนวคิดตั้งข้อรังเกียจ หรือยกตนเหนือ คนไทยหรือชาติพันธุ์อื่นที่นับถือศาสนาอื่นๆไปด้วย
    ​ในประวัติศาสตร์อันยาวนานก่อน พ.ศ. 2482 สยามในฐานะดินแดน หรือ พื้นที่ เป็นที่ยอมรับกันมายาวนาน นักปราชญ์ที่ทุ่มเทศึกษาความเป็นมาของคำว่าสยาม ระบุว่า เป็นคำเก่าแก่ที่คนอินเดียโบราณในอนุทวีป ใช้เรียกดินแดนที่ตั้งแห่งนี้มาแต่ต้นเกือบพันปีแล้ว โดยปรากฎถึงขึ้นมีคำ श्याम ที่ใช้ในอักษร เทวนาครี(ซึ่งเป็นอักษรที่เกิดขึ้นและพัฒนาในอินเดียเมื่อราวปี พ.ศ. 1743 (ค.ศ. 1200) และเป็นอักษรคู่ขนานกับอักษรสันสกฤตมาจนถึงปัจจุบัน)
    ​จดหมายเหตุเก่าของจีน ระบุว่าในบริเวณประเทศที่เราอาศัยปัจจุบัน แต่เดิมมีอาณาจักรอยู่ด้วยกัน 2 อาณาจักร คือ อาณาจักร "เซียน" (暹国; น่าจะหมายถึง สยาม หรือ สุโขทัย) ซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้น แต่ยังอยู่ใต้อาณาจักร "ร้อยสนม" (สันนิษฐานว่าคืออาณาจักรล้านนา-ไทใหญ่) และอาณาจักร "หลัววอ" (羅渦国; น่าจะหมายถึง อยุธยา ซึ่งจีนยังใช้ชื่อของ ละโว้ เรียกอยู่) โดยอาณาจักร "เซียน" นั้นมักประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ต้องนำเข้าข้าวจากอาณาจักร "หลัววอ" จนในที่สุด อาณาจักร "เซียน" และอาณาจักร "หลัววอ" ได้รวมกันเข้า ทางราชสำนักจีนจึงได้รวมเรียกชื่ออาณาจักรใหม่ที่เกิดจากการรวมกันดังกล่าวว่า อาณาจักร "เซียนหลัว" (暹罗国; ภาษาจีนกลางยุคปัจจุบัน="เซียนหลัวกว๋อ" ภาษาจีนแต้จิ๋ว = "เสี่ยมล้อก๊ก") ซึ่งได้กลายเป็นนามเรียกอาณาจักรโดยชาวจีนมาจนกระทั่งมีการเปลี่ยนชื่อประเทศ เป็นประเทศไทย
จากคำเรียกชื่อดินแดนในครั้งโบราณ เมื่อกษัตริย์ในยุครัตนโกสินทร์ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามของเจ้าอาณานิคมตะวันตก จึงเริ่มปรับตัวสร้างกระแสตั้งรัฐประชาชาติแบบตะวันตก ทดแทนรัฐตามจารีตโบราณ จึงใช้ชื่อรัฐว่า สยาม อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่การเริ่มต้นทำสนธิสัญญาบาวริ่ง พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855)

    ​เจตนาของการใช้คำว่า สยาม เป็นนามประเทศ มีคำอธิบายชัดเจนว่า เนื่องจากราชอาณาจักรประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ อาทิ ไท ลาว มอญ ญวน เขมร แขก จีน ฝรั่ง และมลายู เจตนารมณ์ในการหลอมรวมเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของประชาชนทุกหมู่เหล่าที่แพร่หลายยาวนาน
มีหลักฐานเก่าแก่ในกฎหมายเก่า ระบุถึงการใช้ชื่อสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้นำกฎหมายเก่ามาชำระและรวบรวมเป็นกฎหมายตราสามดวง ชื่อประเทศได้รับการบันทึกเป็นภาษาบาลีว่า "สามปเทส" (สาม หรือ สามะ แปลว่าความเสมอภาค ส่วน ปเทส แปลว่า ประเทศ แต่ฝรั่งออกเสียงเพี้ยน เป็นเซียมหรือไซแอม)

อดีตของสยามที่ไม่มีเป้าหมายเหยียดชาติพันธุ์มายาวนาน จึงถูกลบเลือนไปสิ้นเชิง ด้วยอำนาจรัฐรวมศูนย์ของยุคจอมพลแปลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2482 สืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น อำนาจรัฐรวมที่พยายามสร้างกระแสเพื่อกระชับอำนาจเข้มข้นต่อเนื่องด้วยการอ่างว่า รัฐไทยนั้นเป็นรัฐเดี่ยว หรือ single state แบ่งแยกไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้ความพยายามกระจายอำนาจสู่ประชาชนถูกเพิกเฉยครั้งแล้วครั้งเล่า
    ​ผลลัพธ์คือการสถาปนารัฐไทยที่กระชับอำนาจในคนกลุ่มน้อย ที่เมินเฉยต่อความหลากหลายของชาติพันธุ์ เป็นเจตจำนงที่ผิดพลาดมาตั้งแต่พ.ศ. 2482 ดังนั้น การสถาปนาสหพันธรัฐ เพื่อสร้างรัฐใหม่บนความหลากหลายที่เอกภาพในอนาคต จะต้องลบรอยอดีตที่ผิดพลาดของเผด็จการยุคจอมพลแปลก ด้วยการย้อนรอยนำชื่อ สยาม กลับมาใช้ใหม่ เพื่อสร้างเอกภาพบนความหลากหลายของสหพันธรัฐ ที่เคารพในหลักการเสมอภาคของชาติพันธุ์ทั้งหลายในรัฐ
การที่กลุ่มสหพันธรัฐไท ยังคงหลงทางใช้ชื่อ ไท (ไทย) เพื่อสร้างสหพันธรัฐ จึงเป็นการย่ำรอยประวัติสาสตร์ที่ผิดพลาดอีกครั้ง เพราะเอกภาพทางชาติพันธุ์จะไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้เลย หากพลเมืองของรัฐที่เป็นชาติพันธุ์หนึ่ง ยังยึดติดในอหังการว่า ตนเองอยู่เหนือชาติพันธุ์อื่น และคนชาติพันธุ์อื่นๆ รู้สึกว่าตนเป็นเพียง"ผู้อาศัย"หรือ"พลเมืองชั้นรอง" เท่านั้น
การย้อนรอย กระทำสิ่งที่เคยผิดพลาด จึงเป็นมากกว่าแค่การใช้คำผิด แต่ยังทำให้การสร้างความร่วมมือในสหพันธรัฐในอนาคตยากยิ่งกว่าการว่ายทวนกระแสน้ำ
ความสำคัญของ สยาม ที่ต่างจาก ไท (ไทย) จึงเป็นมากกว่าประวัติศาสตร์ของการตั้งชื่อเท่านั้น แต่เป็นการกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก ที่จะเกิดผลเสียหายในระยะยาว

จุดยืนของผู้เขียน ชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นว่า ชื่อที่ถูกต้องของสหพันธรัฐในอนาคตที่จะสร้างเอกภาพในความหลากหลายต้องเป็น 'สหพันธรัฐสยาม' เท่านั้น และจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปยอมรับว่า ความผิดพลาดในการใช้ชื่อ สหพันธรัฐไท เป็นความชอบธรรม

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

2ความแตกต่างที่คนไทยเคยสัมผัส


ความแตกต่างที่ฝันหาและเคยสัมผัส
วันนี้จัดฟังอีกทียิ่งมีความหมาย
ระหว่างทักษิณกับเผด็จการที่ใกล้จะตาย
มันจึงทำลายคนดีต้องสามัคคีบาทาประชาฑัณฑ์


วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

ตาสว่างจากเยอรมัน เผยความพอเพียงแบบตระกูลกษัตริย์ไทย


It's seem like that people in Germany are getting irritating with the infamous Thai King.
รายงานข่าวกษัตรย์ไทยทรงพระกางเกงในที่บาเยิร์น และมีท่าทีของชาวบาเยิร์นด้วยว่า " นสพ. „Der Spiegel„ รายงานว่า ชาวเมืองที่นั่นรู้สึกไม่พอใจกับการเลี้ยงทาสไว้ใช้งาน กษัตริย์ผู้อื้อฉาวคนนี้คือใครกัน"

---------------------------------------------

ผู้ติดตามของเขาต้องคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อคอยรับใช้

ช่วงพักเหนื่อยจากการปั่นจักรยาน: กษัตริย์ไทยและแฟนสาวใส่กางเกงมินิเอาไว้ใต้เสื้อปั่นจักรยาน คนรับใช้นั่งชันเข่ากับพื้นเพื่อคอยเสิร์ฟเครื่องดื่มและผ้าขนหนู

ดูนั่นสิ: รัชกาลที่สิบของไทยเสด็จมาเยือนบาเยิร์นแต่ไม่ได้มาในชุดโออ่าอลังการ แต่ถีบจักรยานในชุดกางเกงใน!



การปรากฏตัวค่อนข้างแปลกประหลาด กษัตริย์และสุทิดา แฟนสาวของเขาสวมใส่เสื้อกีฬาแขนยาว และช่วงล่างใส่กางเกงตัวจิ๋ว กษัตริย์สวมสนับเข่าสีเนื้อ

มันไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ว่าจะได้เห็นจากรัชทายาทผู้ชอบอวดรวย มหาวชิราลงกรณ์ (64ปี) ตั้งแต่สิ้นปี 2016 เขาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของประเทศไทย ปีนี้จะมีพิธีสถาปนาการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ ซึ่งพิธีนี้ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากพิธีไว้ทุกข์ที่จัดขึ้นแก่ในหลวงภูมิพล

แทบจะไม่ได้เลยว่านี่คือเขา : กษัตริย์อวดรวยผู้นี้ใส่กางเกงชั้นในตัวเล็กกระจิ๋ว แฟนของเขาก็ใส่กางเกงขาสั้นเหมือนกัน เธอน่าจะดื่มโกโก้

ชาวบาเยิร์นตะลึงกับการรับใช้ที่ต้องคุกเข่าลงกับพื้น

ตามรายงานของ นสพ. „Merkur“ คณะนักปั่นจักรยานมีทั้งหมด 30 ชีวิต รวมองค์รักษ์และข้าราชบริพารด้วย เมื่อพวกเขาปั่นมาถึงร้านอาหาร „Stern“ เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว มีภาพแปลก ๆ ปรากฏให้แขกที่มาทานอาหารในร้านได้เห็น คนรับใช้นั่งคุกเข่าลงกับพื้น เพื่อถวายเครื่องดื่มและผ้าขนหนูให้กษัตริย์

นสพ. „Merkur“ บรรยายฉากนี้ว่า “เมื่อมหาวชิราลงกรณ์และสุทิดานั่งลงบนเก้าอี้ที่มีผ้าสีขาวคลุมทับไว้แล้วทั้งสองตัว ผู้ติดตามในชุดปั่นจักรยานคนหนึ่งก็มาถอดหมวกกันน็อคออกให้ และคลานเข่าถอยหลังออกไป ไม่มีการพูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น ฉากนี้เต็มไปด้วยการกระทำที่บ่งบอกถึงการให้ความเคารพ
ตามมาตรฐานของบาเยิร์นแล้ว มันเป็นภาพที่ไม่คุ้นชินเลย  นสพ. „Der Spiegel„ รายงานว่า ชาวเมืองที่นั่นรู้สึกไม่พอใจกับการเลี้ยงทาสไว้ใช้งาน
กษัตริย์ผู้อื้อฉาวคนนี้คือใครกัน

จริง ๆ แล้วการปรากฏตัวของกษัตริย์ผู้นี้ในบาเยิร์นตอนบนไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก ภาพที่ไม่มีวันลืมภาพหนึ่งคือ ภาพที่สนามบินมิวนิค: เสื้อเอวลอย กางเกงยีนสฺเอวต่ำหลุดห้อย รอยสักตรงช่วงบนของลำตัว อุ้มสุนัขพุดเดิล ฟูฟู ไว้ในอ้อมแขนพร้อมด้วยองค์รักษ์ผู้ติดตามอีก 30 คน

ชายผู้ชอบชีวิตเสเพลไม่ได้เป็นที่รักของคนไทย สไตล์การใช้ชีวิตของเขาไม่เป็นที่ยอมรับนัก กษัตริย์ที่ติดสติ๊กเกอร์แทททูผู้นี้เคยหย่ามาแล้วสามครั้ง - มีลูก 7 คน

หลายปีที่ผ่านมาเขาชอบมาเที่ยวที่มิวนิคและแถบใกล้เคียงครั้งละหลายเดือนทุกปี บางทีก็มีภาพหลุดมาให้เห็นตอนเขาและคณะข้าราชบริพารกำลังไปเก็บสตอร์เบอร์รี่แถวอาเบนด์ซแบร์ก ต่อมามีคนแอบถ่ายภาพเขาตอนเขาขับรถปอร์เช่เก๋ไก๋มาจอดที่หน้าร้านขายอุปกรณ์ทำสวนที่แอร์ดิ้ง

ประเทศไทยมีท่าทีอย่างไรกับการปรากฏตัวของเขาในสภาพนี้

ที่ประเทศไทยรูปภาพและรายงานข่าวเกี่ยวกับการใช้เวลายามว่างของรัชทายาทเป็นเรื่องต้องห้าม ราชอาณาจักรไทยคุ้มครองราชวงศ์ไทยด้วยกฏหมายหมิ่นพระเดชานุภาพที่เข้มงวดที่สุดในโลก ทุกอย่างที่นอกเหนือไปจากการแสดงความซาบซึ้งและการแสดงความเคารพยำเกรงแล้วถูกห้ามอย่างเด็ดขาด โดยมีการกำหนดบทลงโทษจำคุก 15 ปี

นสพ. ต่างชาติ ถูกเซ็นเซอร์ในประเทศไทยอยู่เป็นประจำ

ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนเมษายนปีก่อน „Marie Claire“ นิตยสารสำหรับผู้หญิงถูกประกาศห้ามจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งเป็นฉบับที่วางจำหน่ายเมื่อห้าเดือนที่แล้วเพื่อมีย่อหน้าหนึ่งที่วิจารณ์สไตล์การใช้ชีวิตของรัชทายาทผู้นี้ มีการกล่าวหาว่าบทความนี้มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและหมิ่นประมาท มีการยึดนิตยสารและนำไปทำลายทิ้ง

แม้แต่บทความหลายชิ้นของ „New York Times“ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับราชวงศ์ไทยก็ถูกตัดทิ้งออกไป นับตั้งแต่ที่ทหารยึดอำนาจ กฏหมายข้อนี้ถูกนำมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดมากขึ้นไปอีก   http://m.bild.de/politik/ausland/thailand/thailands-skandal-koenig-geht-auf-radtour-51220004.bildMobile.html

ประมวลภาพความพอเพียงของกษัตริย์ไทยในเยอรมัน





วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

จากอ.สุรชัย ถึงโกตี๋ ด้วยความรัก


ด้วยความห่วงใย โกตี๋ และ ลุงสนามหลวง
.
ถ้าไม่เป็นข่าวใหญ่และโกตี๋พูดถึงผมในทางลบ ผมก็จะไม่พูดถึงหรือเขียนถึงโกตี๋เพราะไม่ต้องการทะเลาะด้วย เนื่องจากเคยดีกันมาก่อนและไม่เคยคิดว่าเป็นศัตรูกัน ถึงจะโจมตีอย่างไรก็ไม่ถือสา กลับเวทนาสงสารในความคิดพล่านหาเงินหาทองเพื่อความอยู่รอด จนเข้าตาจนเวลานี้
.
ผมรู้จักโกตี๋เมื่อออกจากคุกในเดือน ต.ค.2556 จากการเชิญไปที่สถานีวิทยุเพื่อจัดบายศรีสู่ขวัญต้อนรับสู่อิสระภาพ ต่อมาได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีและร่วมจัดรายการวิทยุบางเวลา จนสุดท้ายช่วยดูแลสถานีวิทยุเมื่อโกตี๋หลบหนีคดี ม.112 จนต้องปิดสถานีวิทยุเมื่อมีการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557
.
เมื่อหนีออกนอกประเทศผมไปที่ไหนโกตี๋ตามไปที่นั่น ขอเงินขอทองจากผู้สนับสนุนบอกว่าจะดูแลผมแต่จริงๆ กลายเป็นผมดูแลโกตี๋มากกว่าก็ไม่ว่าอะไรกัน เพราะผมก็ได้รับการสนับสนุนมากกว่าและต้องดูแลคนอื่นๆ อีกหลายคนด้วย 
.
แต่สุดท้ายที่โกตี๋โกรธผมก็เพราะ จะขอเอาชื่อผมไปจัดทัวร์หาเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ได้เพราะเจ้าของประเทศที่เราอาศัยเขาอยู่เขาไม่ยอม และผมจะอันตรายถูกอุ้มได้ถ้าออกจากที่ตั้ง
.
เท่านี้เองที่ทำให้โกตี๋โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปรวมหัวกับพวกประเภท "ริษยา" ประกาศเป็นศัตรูกับผมตั้งแต่นั้นมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะความเป็นผู้อาวุโส ไม่ควรลดระดับตัวเองไปทะเลาะด้วย และมีเกียรติมีศักดิ์ศรีที่จะไม่ให้ร้ายผู้อื่น
.
เมื่อการจัดทัวร์ไม่สำเร็จโกตี๋กับพวกก็ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และคิดว่าจะเป็นการยกระดับกลุ่มตน จึงได้ประกาศจัดตั้งกองกำลังอาวุธเพื่อต่อสู้ให้ประเทศไทยเปลี่ยนเป็นสหพันธรัฐ และถึงขั้นขู่ฆ่าผู้นำประเทศจนเป็นข่าวโด่งดังทำให้รัฐบาลไทยกดดัน
.
ปรากฎว่าการจะเปลี่ยนประเทศเป็นสหพันธรัฐ ก็ได้รับการสนับสนุนเงินทองมากมายพอสมควรและมีพวกเราบางคน "แดงสยาม" แนะนำผมว่าควรเอาแนวทางโกตี๋และลุงสนามหลวงเพราะมีคนชอบมาก เดี๋ยวมวลชน "แดงสยาม" จะทิ้งไปอยู่ข้างนั้นหมด
.
ผมไม่ขอตอบโต้แต่อย่างใดเพียงรู้สึกเป็นห่วง เพราะการต่อสู้แบบสะใจโก๋หรือวูบวาบแบบไม่มีทฤษฎีเช่นนี้ไม่นานก็หายวับ ประเภท "เตมูจิน" หรือ "พิราบขาว" เป็นตัวอย่าง
.
และการออกมาขู่ฆ่าท้าทายเขาเช่นนั้นเท่ากับทำตัวเป็นเหยื่อล่อ "ไอ้เข้" ซึ่งในที่สุดก็ถูกงับเข้าจนได้ พวกเรามีบทเรียนมาแล้วตอนที่มีการประกาศว่า "มีอะไรให้มาที่หน้าศาลากลาง" แล้วมีบางคนต่อท้ายด้วยความคึกคะนองอีกว่า "ให้พกน้ำมันไปคนละขวด" สุดท้ายเข้าทางเขา
.
กรณีโกตี๋และพวกก็เช่นกันเป็นประเภท "ปลาหมอตายเพราะปาก" เป็นกบฎน้ำลาย ก็อยู่ด้วยกันมาทำไมจะไม่รู้ว่า..มีศักยภาพแค่ไหน ขี้โม้เพื่อหาแดกจากพวกซาดิส เพื่อรับการสนับสนุนเท่านั้นเอง อยู่กันแค่ 5-6 คนไม่มีกองกำลังที่ไหนหรอก พวกที่ถูกจับก็ไม่ใช่ แล้วที่ว่าส่งคนไปป่วนที่วัดพระธรรมกายก็ไม่มีหรอก 
.
ส่วนปืนเท่าที่ผมทราบ (ตอนดูแลสถานี) มีปืนลูกซองเก่าๆ เอาไว้เฝ้าสถานีวิทยุกระบอกเดียว ตอนที่ผมหลบออกมาก็บอกให้คนเฝ้าเอาออกจากสถานีพร้อมของมีค่าอื่นๆ ปล่อยให้ทหารยึดอย่าต้าน จึงไม่แน่ใจว่าที่ตั้งโชว์ออกสื่อนั้นเป็นของใครกันแน่ 
.
สุดท้ายก็ขอให้โกตี๋ และ ลุงสนามหลวงโปรดทบทวนตัวเองด้วยและขอให้ปลอดภัยทุกคน เรายังเป็นพวกเดียวกัน อย่าแปลกแยกกัน ถ้าเขียนถึงประโยคใดข้อใดไม่สบอารมณ์ก็ขออภัยด้วย 
.
.
สุรชัย แซ่ด่าน
21 มีนาคม 2560

วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

ข่าวตาสว่างทางไกลนายจอห์นลี เรื่อง:ภาษีประชาชนปรนเปรอเจ้า


*เงินซื้อเครื่องบิน1ลำของกษัตริย์สามารถจัดรถไฟให้ประชาชนนั่งฟรีได้ทั้งปี...ชมเรื่องราวเครื่องบินใหม่ของกษัตริย์วชิราลงกรณ์และเครื่องบินบริการครอบครัวกษัตริย์มากกว่า30ลำตามรายงานพร้อมหลักของAndrew MacGregor Marshall และอ.สมศักดิ์เจียม

1)เครื่องบินใหม่ เป็น โบอิ้ง 737 ตั้งชื่อย่อว่า HS-HMK (HMK ย่อมาจาก His Majesty the King)ขอให้สังเกตว่าเลขตรงหัวเครื่อง ๙๐๔๑๐ตรงหางเครื่อง ๙๙-๙๐๔ดูรูป
https://goo.gl/GgISDp

2)เครื่องบินที่กษตริย์และครอบครัวใช้มีมากกว่า30ลำจาก"วิกิพีเดีย"(เครื่องบินใหม่ข้างต้นไม่อยู่ในรายการนี้)
https://goo.gl/qma84e

3)ข่าวกองทัพอากาศใช้เงินภาษีประชาชนซื้อเครื่องบินพระที่นั่งถวายเพื่อเอาใจกษัตริย์โดยไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชนเมื่อต้นปี 2550
https://goo.gl/oCgvdM)

4)มีใช้2ลำแล้วก็ยังจัดซื้อให้ใหม่อีก,หลักฐานดูจากข่าวกองทัพอากาศส่งคนไปบริษัทโบว์อิ้ง เพื่อตรวจรับเครื่อง 737 ใหม่ล่าสุดตามข่าวข้างต้น เพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าถวายเมื่อกันยายน 2559
https://goo.gl/X1Nk71

5)เครื่องบินใหม่ข้างต้น,เริ่มทำงบประมาณซื้อปี 2557 วงเงิน 3,779,023,000 บาท (คือราว 3.8 พันล้านบาท) ดูได้จากเอกสารงบประมาณรายจ่ายปี 2557
https://goo.gl/8fqLJk

6)ดูภาพการตกแต่งภายในเครื่องบินใหม่ของกษัตริย์วชิราลงกรณ์โบอิ้ง 737 ข้างต้น เพิ่งส่งมอบกันยายน 2559
https://goo.gl/HgVOhl

7)คลิปติดตามความก้าวหน้าการตกแต่งภายในของเครื่องบินลำใหม่โดยบริษัท Fokker Services ของเนเธอร์แลนด์
https://goo.gl/36JNgv

8)เครื่องบินลำใหม่นี้ถูกนำส่งถึงไทยเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว,มีการจัดพิธีต้อนรับมีคนทำคลิปวิดีโอไว้ด้วย
https://goo.gl/PlvJzM

สรุป...ตามข้อมูลของคุณแอนดรู ข้างต้น ขณะนี้กษัตริย์ใหม่มีเครื่องบิน 737 ใช้เป็นการส่วนตัวรวม 3 เครื่อง คือเครื่องใหม่นี้ และอีก 2 เครื่อง ชื่อย่อ HS-HRH (HRH ย่อมาจาก His Royal Highness) และ HS-CMV (CMV ย่อมาจาก Crown Prince Maha Vajiralongkorn)

9)ราคาเครื่องบินส่วนตัว3ลำและค่าใช้จ่ายดูแลล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งหมด และประชาชนยังต้องจ่ายเงินเป็นเบี้ยเลี้ยงเงินเดือนทุกครั้งที่ไปเยอรมันเป็นเงินจำนวนมากเฉพาะค่าเช่าโรงแรมที่มิวนิคสำหรับผู้ติดตามสูงถึงปีละกว่า10 ล้านยูโร ดูได้จากลิ้งนี้
http://goo.gl/r4tcNj)
--------------------
*เปรียบเทียบกับกษัตริย์อังกฤษมหาอำนาจของโลก แม้จะยิ่งใหญ่แต่สู้ไทยไม่ได้เพราะไม่มีเครื่องบินประจำพระองค์แม้แต่ลำเดียว...จากสมศักดิ์เจียม
https://m.facebook.com/photo.php?fbid=193225364064084&set=a.137616112958343.44289.100001298657012&type=3*ข่าวจริงยิ่งต้องช่วยแชร์httfbidps

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

"ละครบทเก่า: ล้มเจ้าจับอาวุธเพื่อประยุทธ์จะอยู่นาน"


โดย...จักร ภูมิสิทธิ์

พลเอกประยุทธ์และทีม คสช. กำลังมีปัญหา ที่ยังไม่เป็นเนื้อเดียวกับ รัชกาลที่ 10 เพราะทำรัฐประหารในสถานการณ์ปลายรัชกาลที่ 9 ที่มิใช่ยึดอำนาจเพื่อ รัชกาลที่ 10 และยังเป็นที่สงสัยคลางแคลงใจว่าพวกคสช.เป็นพวกของนางพญาช้างน้ำว่าที่ ร.10 ที่พัวพันการรัฐประหารมาตั้งแต่ปี2549 และก่อวิกฤติตลอด 10ปีในรัชกาลเก่าเพื่อให้ได้รัฐบาลในอุ้งมือมารผมขาวแห่งบ้านสี่เสาที่รับคำสั่งจากรัชกาลเก่าให้ผู้หญิงขึ้นเป็นรัชกาลต่อไป และยืนยันด้วยความเชื่อนี้ ก็คือคืนวันสวรรณคต ที่ทั้งนายกฯประยุทธ์ และประธาน สนช.พรเพชร เด็กนางพญาจุฬาคอนเนคชั่น ต่างอ่อมแอ้มไม่ยอมพูดให้ชัดว่ารัชกาลที่ 10 จะต้องเป็นสมเด็จพระบรมฯ

มาถึงวันนี้จะให้กษัตริย์วชิราลงกรณ์ ร.10 ผู้มีวิธีคิดขี้ระแวงสงสัยเชื่อสนิทใจว่าประยุทธคือข้ารับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทจะเป็นไปได้อย่างไร?

ประกอบกับภาพเน่าๆที่เสวยอำนาจนานมาเกือบ3ปีของประยุทธ์ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและปล้นทรัพย์สินประชาชนจนอื้อฉาวในครอบครัวจันทร์โอชาและเหล่าคสช.ก็ยิ่งตอบคำถามไม่ได้ว่า "จะจัดงานส่งสวรรคาลัยให้ ร.9 และตามด้วยงานสมโภชบรมราชาภิเษก ร.10 อย่างสมพระเกียรติ์ ได้อย่างไร??? " เพราะทั้งน้ำหน้าและน้ำเน่าอย่างประยุทธ์ จะเชิญประมุขแห่งรัฐทั่วโลกทั้งกษัตริย์และประธานาธิบดี มาร่วมงานนั้นยากเต็มที  จะมีมาได้อย่างมากก็ผู้นำอาเซี่ยนที่จำเป็นต้องข่มใจมาเพราะเป็นเพื่อนบ้าน หรือจีน ที่ไม่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

ยิ่งภาพ ร.10 เป็น"ดอนฮวนนักรักบรรลือโลก" ที่รู้กันทั่วน่านน้ำสากลด้วยแล้ว ใครที่จัดงานมือไม่ถึงจริงๆก็ดึงผู้นำทั่วโลกมายากส์ส์

ข่าวลือใต้ถุนทำเนียบก็พอรู้กันได้ว่าทางออกที่จะตอบคำถามข้างต้นได้ก็คือต้องเปลี่ยนตัวนายกฯและทีมงานยกชุด....เค้าโครงรัฐบาลแห่งชาติเพื่อการปรองดอง....ก็เริ่มก่อรูปความคิดขึ้น

โรงมหรสพที่เปิดแสดงละคร เรื่องการปรองดอง จึงเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนและต้องให้เสร็จภายใน 3 เดือน โดยมีบทปิดท้ายที่เตรียมการแล้วแต่ปิดบังไว้ คือจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อการปรองดองคือทางออก ก่อนเลือกตั้ง หรืออาจยาวจนไม่มีเลือกตั้งซึ่งเป็นความฝันของใครบางคน?

รัฐบาลใหม่เพื่อการปรองดอง(เพื่อการจัดงานให้สมพระเกียรติ์) แน่นอนที่สุดคือไม่มีทั้งประยุทธ์และไม่มีทั้งทักษิณ (เพื่อร.10 จะได้อ้างความเป็นกลางแบบง่ายๆ)จึงเกิดขึ้นเป็นพิมพ์เขียวในสมองของราชสำนัก ที่ประยุทธ์ก็ต้องมองออกและเสียวสันหลัง!!

คำตอบเรื่องการถอยทัพจากการปิดล้อมธรรมกาย(ทั้งที่เป็นตามคำสั่งลุยจากเบื้องบน) จึงเกิดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของตัวประยุทธ์เองเพราะแผนการสร้างสถานการณ์รุนแรงไม่สำเร็จเพราะกลุ่มพระสงฆ์รู้ทันจึงเอาแต่สวดมนต์ทั้งวัน กระแสรุนแรงจึงปั่นไม่ขึ้น แต่ถ้าลุยต่อและเกิดพลาดแม่ทัพต้องรับผิดชอบเอง ประยุทธ์คิดได้จึงไม่เอาด้วย แต่ก็ยังไว้เชิงโดยคงม.44ไว้ แต่เพื่อให้สมประสงค์ทั้งคสช.และร.10 ก็ติดตามมาด้วย การประเมินภาษีทักษิณด้วย"อภินิหารทางกฎหมาย" จึงเกิดขึ้น

เหยื่อรายใหญ่ต่อไปที่ผุดขึ้นในสมองพลเอกประยุทธ์ที่จะนำมาปรุงถวายให้รัชกาลที่10เสวยอย่างพระเกษมสำราญ เพื่อการต่ออายุอำนาจของพ่อครัวพลเอกประยุทธ์ ก็เกิดขึ้นด้วยเมนูดั้งเดิมของกองทัพไทยก็คือ " แกงมัสมั่นพวกล้มเจ้า "

ในสถานการเช่นนี้ก็มีเนื้อสมัน ชื่อหมาน้อยหรือ นายโกตี๋ ผู้ลี้ภัยอยู่ใกล้ๆไทย ที่หาหญ้าและใบไม้มาเลี้ยงชีวิตวิ่งเข้ามาพอดี

นายโกตี๋เจ้าเก่าทำการเปิดวิทยุออนไลน์ใต้ดินชื่อไฟเย็น พร้อมขอเงินบริจาค โดยการโฆษณาสินค้าตรา"ล้มเจ้า24น." เป็นที่ขายดิบขายดี จากลูกค้าที่เกลียดชังเจ้าไทยทั้งในประเทศไทย ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ร่วมบริจาคเงินและโฟนอินเข้าไปร่วมรายการอย่างสนุกสนานมาได้2เดือนเศษๆ

นายหมาน้อยที่มีนิสัยชอบเห่าและสร้างข่าวเพื่อเลี้ยงชีพมาตั้งแต่ในเมืองไทยก่อนประยุทธ์ทำรัฐประหารก็ได้ทั้งเงินทั้งกล่องเลยยิ่งสนุกกันใหญ่กับลุงสนามหลวง เกจิอาจารย์ล้มเจ้า

ยิ่งน.ส.พ.เนชั่ว และ สำนักข่าวหัวเหลือง T news (ทิ่มนิวส์)เอาไปขึ้นปกพาดหัว เนื้อสมันอย่างหมาน้อยและลุงสนามหลวง ยิ่งหลงระเริงจนลืมเรื่องการสร้างสถานการณ์เพื่อการกวาดล้างในธรรมศาสตร์ 6ตุลา 2519 ที่น.ส.พ.ตะวันสยาม นำภาพตบแต่งคล้ายฟ้าชายแขวนคอเล่นละครในธรรมศาสตร์ที่ผ่านมา

หลงระเริงเจือปนอุดมการณ์ล้มเจ้ายิ่งทำให้เมามันถึงขนาดลุงสนามหลวงกับหลานโกตี๋หมาน้อยสนุกออกอากาศประกาศว่า "ถ้ามันบุกวัดธรรมกาย ก็ขอให้กองกำลังของเราบุกวังของเจ้าทุกวังได้เลย " (ภาษาที่เขาใช้ก็หยาบเกินกว่าที่ผู้เขียนจะนำมาลงได้)

นักวิเคราะห์การเมืองทั้งหลายฟังก็รู้ดีว่า ลุงกับหลาน2คนนี้กำลังสนุกกับการเป่าน้ำลายเล่น แต่เขาหารู้ไม่ว่าหมาป่าประยุทธ์กำลังหาอาหารทางอำนาจ   เพราะอยากจะสวาปามมีอำนาจอยู่ยาวๆตาม
โรดแมพ...เรื่องราวการตรวจคนที่พักนายโกตี๋ได้อาวุธมากมายจึงเกิดขึ้นเป็นข่าวครึกโครมตลอดวันตั้งแต่บ่ายของวันที่ 18 มีนา 2560 เป็นจุดเริ่มต้น แต่จะไปลงท้ายคล้ายๆเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ก็คงยาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศพอรู้จักรสชาติแกงมัสมั่นสูตรกองทัพไทยแล้ว

สรุป...พอประเมินได้ว่า สถานการที่ถูกสร้างขึ้นและที่มีเนื้อสมันวิ่งเข้าครัวกองทัพเพื่อให้จับฆ่าทำแกงครั้งนี้น่าจะอยู่ในกรอบเพื่อให้รัชกาลที่10 โปรดปรานทีมงานคสช.และไม่เป็นอุปสรรคกับการเสวยอำนาจต่อไปอย่างมั่นคง   แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการยกระดับการสร้างสถานการณ์ตามน้ำลายของลุงกับหลานด้วยการมีมือลึกลับบุกไปยิงกำแพงวัง   คล้ายๆเหตุการณ์ป้ายสีช่วงเสื้อแดงชุมนุมด้วยเรื่องโกหกว่า "มีพวกคนเสื้อแดงวางแผนยิงจรวดอาร์พีจี ถล่มวัดพระแก้ว แต่ถูกจับเสียก่อน??"

การสร้างสถานการณ์ของเผด็จการที่ผ่านมาแม้จะไม่ค่อยจะแนบเนียนแต่บังเอิญคนแสดงละครคณะเผด็จการไทยแกหน้าด้านและไม่ค่อยสนใจคนดู แกจึงแสดงอยู่เรื่อยๆ  

ประชาชนผู้เสียภาษีต้องให้ความสนใจกันหน่อย...แต่งานนี้ถ้าหลงละเลงจะแกงมัสมั่นเนื้อสมันถวายร.10 อาจจะกลายเป็นแกงมัสมั่นเนื้อหมา(น้อย)ข้างถนนแทนก็ได้ ....เพราะมีคนรู้ทันแล้ว//

ที่มาของบทความ: Thai Democratic Movement in Scandinavia - ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย
http://thaiscandemo.blogspot.com/2017/03/blog-post_85.html

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แถลงการณ์ของกอท.เสรีไทย:ต่อต้านการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมกับชาวพุทธ


เรียนพี่น้องผู้รักความเป็นธรรม

เราได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของนายประยุทธ์และรัฐบาลเผด็จการคสช.ต่อกรณีวัดธรรมกายมาโดยตลอดและสรุปได้อย่างไม่มีข้อสงสัยเลยว่านายประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะมีเจตนาร้ายต่อพุทธศาสนานับตั้งแต่การหนุนหลังอลัชชีนายสุวิทที่อ้างตัวเองว่าชื่อพุทธอิสระออกเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนในพุทธศาสนาเพื่อไม่ให้แต่งตั้งสังฆราชตามมติของมหาเถรสมาคมจนนำไปสู่การแก้กฎหมายสงฆ์แล้วแต่งตั้งสังฆราชตามอำเภอใจแล้วก็ตามมาด้วยใช้อำนาจเถื่อนม.44ปิดล้อมวัดโดยแปรสภาพอำเภอคลองหลวงเป็นเสมือนเขตสู้รบปราบโจรผู้ก่อการร้ายที่ภาคใต้

ตลอดเวลาที่พวกมันปล้นอำนาจประชาชนมาเกือบ3ปี,นอกจากมันทำร้ายพุทธศาสนาแล้วมันก็มิได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเลย,อีกทั้งยังทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงหาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวเอง,พรรคพวกและครอบครัวของมันจนผู้คนเปลี่ยนนามสกุลมันเป็น"โจรโอชา"...พฤติกรรมของประยุทธ์และพวกจึงไม่ต่างอะไรกับโจร 
ในขณะที่มันเหยียบย่ำหัวใจชาวพุทธ,มันก็กลับแสดงความเคารพนบนอบและให้การสนับสนุนศาสนาอื่นเสมือนว่าเป็นศาสนาของพวกมัน

ในสถานการณ์เช่นนี้ทางออกที่เป็นไปได้ดิฉันขอเรียกร้องให้พี่น้องไทยผู้รักความเป็นธรรมทั่วโลกต้องสามัคคีกันติดตาม,ให้กำลังใจต่ออุบาสกอุบาสิกาและพระสงฆ์ที่ต่อสู้อย่างสันติวิธีที่ร่วมกันสวดมนต์เจริญธรรมทั้งในวัดและรอบๆวัดธรรมกายและช่วยกันเผยแพร่ข่าวสารของวัดให้โลกได้รับรู้เพื่อไม่ให้พวกโจรคสช.ใช้เครื่องมือสื่อสารปิดล้อมและบิดเบือนให้ร้ายแก่วัดได้(ดังตัวอย่างคลิปที่แนบมานี้)
 ด้วยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบุญกุศลและความดีงามที่หลวงพ่อธรรมชโยร่วมกับพุทธศาสนิกชนที่ได้ร่วมกันจรรโลงพระศาสนามายาวนานนี้จะได้ดลจิตใจให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยและชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหารตำรวจและข้าราชการพลเรือนได้มีดวงตาเห็นธรรมและหยุดการรับใช้"คณะโจรคสช."หรือร่วมกันแสดงการเฉื่อยงานไม่รับคำสั่งของพวกมันอีกต่อไป

ขอให้อำนาจแห่งธรรมชนะอำนาจโจร

ดร.ดารณี รวีโชติ
ผอ.กองอำนวยข่าวกลางองค์การเสรีไทย
18กุมภาพันธ์2560
---------------------
ตัวอย่างคลิปและข่าวที่ต้องช่วยกันเผยแพร่
🌐5เรื่องดัง!!ที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย 
🌐https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1154849221291947&id=878611588915713

*เผยแพร่ข่าวธรรมคือช่วยกันต่อต้านคสช.

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กำหนดยุทธศาสตร์ผ่าน 'การปรองดอง'



ต้องใช้สถานการณ์ความปรองดองเป็นยุทธศาสตร์เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ
.
"สถานการณ์ของประเทศไทยมาถึงจุดที่ต้องสร้างความปรองดองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ของทุกฝ่าย"
.
เริ่มจากฝ่ายด้านหลักของความขัดแย้งคือ ระบอบอำมาตย์เก่าที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์แต่เมื่อการเปลี่ยนผ่านรัชกาล มาเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบอำมาตย์เก่า จึงมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาถ้าความขัดแย้งยังดำรงค์อยู่เช่นนี้
.
ส่วนถ้าจะปล่อยให้ คสช. บริหารประเทศอยู่ย่างยาวนานก็มีความเสี่ยงร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เกิดความมั่นคงได้ นอกจากสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่เดินตามกษัตริย์องค์ก่อนประเทศชาติก็จะไปได้สวย
.
ฝ่ายต่อมาคือ ระบอบอำมาตย์เก่าบวกพรรคประชาธิปัตย์ ที่กษัตริย์องค์ก่อนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่มีความพยายามจะทำลายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง และแย่งชิงบัลลังก์จากรัชทายาทที่เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันแต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อการเปลี่ยนผ่านรัชกาลไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ต้องอยู่ในสภาพเป็นฝ่ายตรงข้ามของกษัตริย์องค์ใหม่ก็มาถึงทางตัน ต้องยอมรับสภาพ “ลาโรง” พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเปลี่ยนอุดมการณ์พรรคจากอนุรักษ์นิยมเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม เข้าสู่การเลือกตั้งอย่างบริสุทธิยุติธรรมไม่ต้องหลังพิงวังอีกต่อไป ดังนั้นระบอบอำมาตย์เก่ากับพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มีทางเลือก จึงต้องยอมรับความปรองดองตามประสงค์ของกษัตริย์องค์ใหม่
.
อีกฝ่ายคือรัฐบาล คสช.ที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มอำมาตย์เก่า มาถึงวันนี้ถ้าคิดจะใช้ความเป็นตาอยู่สืบทอดอำนาจต่อไปก็ไม่มีทางอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะกษัตริย์องค์ใหม่ไม่ต้องการ ทั่วโลกไม่ยอมรับ กลุ่มอำมาตย์พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับ พรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดงไม่ยอมรับ จึงอยู่สภาพเหมือนเดินอยู่ปากเหว
.
เวลานี้ต้องทำตามกระแสรับสั่งแบบขีดเส้นตายให้สร้างความปรองดองให้สำเร็จ มิฉะนั้นจะถูกรัฐประหารเงียบ จึงไม่มีทางเลือกจึงต้องสร้างความปรองดองก่อน แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งจากนั้นวางมือมีกินมีใช้สบายไปตลอดชีวิต
.
มาถึง ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงทั้งหลาย อย่ามองความปรองดองเป็นแค่ยุทธวิธี หรือคิดว่าจะเป็นความพ่ายแพ้ เดินไปตามความต้องการของฝ่ายตรงข้ามขัดกับแนวทางนอกสภาและยุทธศาสตร์ สะสมกำลังลุกขึ้นสู้เมื่อมีความพร้อมอย่างเข้าใจผิด
.
จริงๆ แล้วนี่คือพัฒนาการของการต่อสู้ที่เข้าทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายเราเป็นภาคบังคับที่ทุกฝ่ายต้องเดินตามนั้นคือ “ยุทธศาสตร์สะสมกำลังลุกขึ้นสู้เมื่อมีความพร้อม" เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันตินั้นเอง เราควรจะดีใจที่สถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงเป็นไปเช่นนี้ เพราะเราไม่ต้องการให้ประเทศของเราเป็นเหมือนประเทศซีเรียในปัจจุบัน
.
ดังนั้นความปรองดอง จึงเป็นทั้งยุทธศาสตร์และความปรารถนาของพวกเรา ถ้าสำเร็จก็จะเป็นชัยชนะอีกก้าวหนึ่งของพวกเรา พวกเราจึงต้องสนับสนุนการปรองดอง เมื่อสำเร็จและเราค่อยกำหนดยุทธศาสตร์ขั้นต่อไป เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศไทยให้ได้
.
"นักปฏิวัติต้องมีความฉลาด รู้จักปรับเปลี่ยน ใช้สถานการณ์ให้เกิดประโยชน์ ในการต่อสู้อย่าซื่อบื้อตายตัว หรือบ้าเลือดสุดขั้วอย่างเด็ดขาด"
.
.
สุรชัย แซ่ด่าน
10 กุมภาพันธ์ 2560

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

ข่าวองค์การเสรีไทยเคลื่อนไหวตาสว่างเปิดโปงคสช.ในระดับรัฐบาล

**ข่าวองค์การเสรีไทยเคลื่อนไหวตาสว่างเปิดโปงคสช.ในระดับรัฐบาล,รัฐสภาของสหรัฐอเมริกาและหน่วยงานพัฒนาภาคเอกชนที่สำคัญ,ในโอกาสที่จะมีรัฐพิธี'ทรัมป์'เข้ารับตำแแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

กรุงวอชิงตันดีซี.16-18 มกราคม 2560
*อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย และสส.ดร.สุนัย จุลพงศธร แกนนำเสรีไทยในต่างประเทศได้บินตรงจากยุโรปไปที่กรุงวอชิงตัน ดีซี.เมืองหลวงสหรัฐอเมริกาในโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจะเข้ารับตำแหน่งเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในประเทศไทยตัดหน้ารัฐบาลเผด็จการทหารคสช. 

หน่วยงานที่เดินทางไปพบอาทิเช่นกระทรวงการต่างประเทศ,รัฐสภาทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา โดยเข้าพบตัวแทนกรรมธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร,รวมทั้งหน่วยงานพัฒนาภาคเอกชนที่สำคัญที่ทำงานประสานงานกับภาครัฐเช่นสถาบันNDI ,CSIS เป็นต้น

*สส.ดร.สุนัย ได้เปิดเผยว่าข้อมูลการสนทนาที่ได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างมากคือสถานการณ์การเปลี่ยนรัชกาล,การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชามติของพระมหากษัตริย์ตามคำแถลงของพลเอกประยุทธ์ที่ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลใหม่,ข่าวการเลื่อนการเลือกตั้งตามโรดแมปและปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยกรณีการจับกุมคุมขังนักโทษการเมือง,การไม่ให้ประกันตัวนักโทษทางความคิดม.112เช่นนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และกรณีจับนักศึกษาไผ่ดาวดินที่แชร์ข่าวBBC เป็นต้น รวมถึงการตั้งโรงงานผลิตอาวุธของจีนในประเทศไทยและการร่วมมือทางทหารที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับจีนอย่างผิดสังเกตุซึ่งจะเป็นชนวนก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในของอาเซี่ยนกันเองและจะส่งผลต่อความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในอนาคตเพราะจีนมีความขัดแย้งกับหลายประเทศในอาเซี่ยนในกรณีหมู่เกาะในเขตทะเลจีนใต้,สส.ดร.สุนัยกล่าวสุดท้ายว่า"ข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันนี้แน่นอนที่สุดคือเราได้ให้ข้อมูลที่เป็นจริงที่มิได้เป็นไปตามข่าวในหน้าหนังสือพิม์ไทยเพราะคสช.ได้ใช้อำนาจควบคุมสื่อภายในประเทศไทยในการตีพิมพ์ข่าว อย่างเข้มงวด ซึ่งทุกหน่วยงานที่ไปพบก็ทราบดีและได้ขอบคุณการเดินทางมาพบของเราในครั้งนี้ "








*ดูข่าวรายละเอียดเพิ่มเติมจากเฟสบุค SunaiFanclub

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1181563935245504&id=198195983582309