ต้องใช้สถานการณ์ความปรองดองเป็นยุทธศาสตร์เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ
.
"สถานการณ์ของประเทศไทยมาถึงจุดที่ต้องสร้างความปรองดองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ของทุกฝ่าย"
.
เริ่มจากฝ่ายด้านหลักของความขัดแย้งคือ ระบอบอำมาตย์เก่าที่ได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์แต่เมื่อการเปลี่ยนผ่านรัชกาล มาเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบอำมาตย์เก่า จึงมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลาถ้าความขัดแย้งยังดำรงค์อยู่เช่นนี้
.
ส่วนถ้าจะปล่อยให้ คสช. บริหารประเทศอยู่ย่างยาวนานก็มีความเสี่ยงร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เกิดความมั่นคงได้ นอกจากสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่เดินตามกษัตริย์องค์ก่อนประเทศชาติก็จะไปได้สวย
.
ฝ่ายต่อมาคือ ระบอบอำมาตย์เก่าบวกพรรคประชาธิปัตย์ ที่กษัตริย์องค์ก่อนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่มีความพยายามจะทำลายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง และแย่งชิงบัลลังก์จากรัชทายาทที่เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันแต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อการเปลี่ยนผ่านรัชกาลไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ต้องอยู่ในสภาพเป็นฝ่ายตรงข้ามของกษัตริย์องค์ใหม่ก็มาถึงทางตัน ต้องยอมรับสภาพ “ลาโรง” พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเปลี่ยนอุดมการณ์พรรคจากอนุรักษ์นิยมเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม เข้าสู่การเลือกตั้งอย่างบริสุทธิยุติธรรมไม่ต้องหลังพิงวังอีกต่อไป ดังนั้นระบอบอำมาตย์เก่ากับพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มีทางเลือก จึงต้องยอมรับความปรองดองตามประสงค์ของกษัตริย์องค์ใหม่
.
อีกฝ่ายคือรัฐบาล คสช.ที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มอำมาตย์เก่า มาถึงวันนี้ถ้าคิดจะใช้ความเป็นตาอยู่สืบทอดอำนาจต่อไปก็ไม่มีทางอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะกษัตริย์องค์ใหม่ไม่ต้องการ ทั่วโลกไม่ยอมรับ กลุ่มอำมาตย์พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยอมรับ พรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดงไม่ยอมรับ จึงอยู่สภาพเหมือนเดินอยู่ปากเหว
.
เวลานี้ต้องทำตามกระแสรับสั่งแบบขีดเส้นตายให้สร้างความปรองดองให้สำเร็จ มิฉะนั้นจะถูกรัฐประหารเงียบ จึงไม่มีทางเลือกจึงต้องสร้างความปรองดองก่อน แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งจากนั้นวางมือมีกินมีใช้สบายไปตลอดชีวิต
.
มาถึง ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงทั้งหลาย อย่ามองความปรองดองเป็นแค่ยุทธวิธี หรือคิดว่าจะเป็นความพ่ายแพ้ เดินไปตามความต้องการของฝ่ายตรงข้ามขัดกับแนวทางนอกสภาและยุทธศาสตร์ สะสมกำลังลุกขึ้นสู้เมื่อมีความพร้อมอย่างเข้าใจผิด
.
จริงๆ แล้วนี่คือพัฒนาการของการต่อสู้ที่เข้าทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายเราเป็นภาคบังคับที่ทุกฝ่ายต้องเดินตามนั้นคือ “ยุทธศาสตร์สะสมกำลังลุกขึ้นสู้เมื่อมีความพร้อม" เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันตินั้นเอง เราควรจะดีใจที่สถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงเป็นไปเช่นนี้ เพราะเราไม่ต้องการให้ประเทศของเราเป็นเหมือนประเทศซีเรียในปัจจุบัน
.
ดังนั้นความปรองดอง จึงเป็นทั้งยุทธศาสตร์และความปรารถนาของพวกเรา ถ้าสำเร็จก็จะเป็นชัยชนะอีกก้าวหนึ่งของพวกเรา พวกเราจึงต้องสนับสนุนการปรองดอง เมื่อสำเร็จและเราค่อยกำหนดยุทธศาสตร์ขั้นต่อไป เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศไทยให้ได้
.
"นักปฏิวัติต้องมีความฉลาด รู้จักปรับเปลี่ยน ใช้สถานการณ์ให้เกิดประโยชน์ ในการต่อสู้อย่าซื่อบื้อตายตัว หรือบ้าเลือดสุดขั้วอย่างเด็ดขาด"
.
.
สุรชัย แซ่ด่าน
10 กุมภาพันธ์ 2560
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอบลบ