วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ฑูตสหรัฐคนใหม่แถลงต่อกรรมาธิการต่างประเทศก่อนเข้ารับตำแหน่งในไทย,ยืนยันคสช.ต้องคืนปชต.ห้ามมั่วความสัมพันธ์จึงจะกลับคืนดังเดิม,แรงแต่นิ่มคสช.ฟังคงหนาว..แต่มันดื้อสุดๆ



เมื่อเวลาประมาณ 9:30 น.ของวันที่23มิถุนายน พ.ศ.2558ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ(ประมาณ13:30น.เวลาประเทศไทย)

นายเกล็น ทาวน์เซนด์ เดวีส์ อดีตผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือระหว่างพ.ศ.2555–2557ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้เข้าให้คำแถลงต่อคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการต่างประเทศของวุฒิสภา

คำแถลงนี้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตฯกล่าวถึงประเทศไทยว่า
 “ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาธำรงมิตรภาพร่วมกันมายาวนาน,ไทยเป็นหนึ่งในพันธมิตรคู่สนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในเอเชีย”

“แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องจำกัดความสัมพันธ์บางด้านกับไทยหลังเหตุการณ์รัฐประหารโดยทหารเมื่อเดือนพ.ค.2557ความสัมพันธ์ทวิภาคีนี้ยังคงกว้างขวางและก่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่ทั้งสองประเทศอย่างที่ความสัมพันธ์อื่นน้อยนักจะเทียบเคียงได้” ซึ่งนายเดวีส์ชี้ว่าการระงับความช่วยเหลือบางประการนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าไทยจะมีการบริหารประเทศโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงจะนำไปสู่ความสัมพันธ์อย่างเต็มรูปแบบ

“ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาความแตกแยกทางการเมืองภายในประเทศไทยถลำลึกลงไปอย่างมาก,นำไปสู่การแบ่งขั้วไม่เพียงระดับการเมืองเท่านั้นแต่ยังแผ่ขยายไปถึงสังคมไทยโดยรวมอีกด้วย” พร้อมเน้นย้ำว่าสหรัฐฯยึดมั่นสนับสนุนหลักประชาธิปไตยและไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งนี้

“การที่สหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยกลับไปมีรัฐบาลพลเรือนคืนสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบนั้นมิได้หมายความว่าสหรัฐฯมุ่งเจาะจงสนับสนุนพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญหรือการเมืองประเด็นใดโดยเฉพาะ,สิ่งเหล่านั้นเป็นคำถามที่คนไทยต้องตัดสินใจโดยผ่านกระบวนการทางการเมืองที่ครอบคลุมอันเอื้อต่อการอภิปรายที่เปิดกว้างและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของประเทศหากผมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้ดำรงตำแหน่งผมจะดำเนินงานสานต่อในการสนับสนุนปณิธานด้านประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทย”

นายเดวีส์ระบุว่านับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร สหรัฐฯเน้นย้ำผ่านทั้งเวทีสาธารณะและการเจรจาส่วนตัวถึงข้อกังวล “เกี่ยวกับการที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยได้หยุดชะงักลง”รวมถึงการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของพลเมือง

ด้านความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพสหรัฐฯและกองทัพไทยนั้นนายเดวี่ส์ชี้สหรัฐฯยังคงยึดมั่นในการรักษาพันธมิตรด้านความมั่นคง“ด้วยตระหนักถึงผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวของเรา”และประวัติศาสตร์การต่อสู้ร่วมกันของสองประเทศไม่ว่าจะในสงครามเวียดนามและสงครามเกาหลีทั้งการฝึกซ้อมกิจกรรมความร่วมมือต่างๆอาทิการฝึกคอบร้าโกลด์ที่ถือเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

อดีตผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือแถลงถึงความสัมพันธ์หลากหลายด้านของสองประเทศไม่ว่าจะเป็นการค้า,วัฒนธรรม,กิจการมนุษยธรรม,และความร่วมมือผ่านองค์กรพหุภาคีต่าง ๆ ในภูมิภาค

ก่อนทิ้งท้ายว่า “เราก็หวังจะเห็นไทยหวนคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยเพื่อความพยายามร่วมกันระหว่างประเทศเราทั้งสองจะดำเนินก้าวหน้าได้อย่างเต็มวิสัยสหรัฐฯเชื่อว่าราชอาณาจักรไทยจะสามารถสร้างความปรองดอง สถาปนาประชาธิปไตย และเติมเต็มโชคชะตาบนหน้าประวัติศาสตร์ในฐานะชาติที่ยิ่งใหญ่และเสรี”

โดยหลังจากสิ้นสุดการแถลงดังกล่าวแล้วคณะกรรมาธิการฯจำเป็นต้องกำหนดวันลงมติรับรองตำแหน่งก่อนส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่ทราบกำหนดเวลาแน่ชัด

ที่มา: สถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แถลงการณ์องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ในวาระครบ ๑ ปีของการก่อตั้งองค์การ




แถลงการณ์องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
ในวาระครบ ๑ ปีของการก่อตั้งองค์การ 

วันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘

เรื่อง ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นรัฐล้มเหลว (a failed state)

นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยมาตั้งแต่ราวปี พ.ศ.๒๕๔๘ เนื่องจากระบอบเผด็จการซ่อนรูปได้รวมกำลังกันหลายด้านเข้าทำลายระบอบประชาธิปไตยที่ยังอ่อนกำลังอยู่ โดยเฉพาะด้วยการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ได้เสื่อมถอยลงอย่างรุนแรงในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หลักการพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยหลายเรื่องถูกละเลยหรือเลิกล้ม สิทธิมนุษยชนหลายด้านของประชาชนไทยถูกละเมิดและถูกทำลาย วิสัยทัศน์ยาวไกลของรัฐบาลกลายภาวะสายตาสั้นและการแก้แค้นของระบอบอำนาจเดิม โดยสรุปแล้ว ประเทศไทยกำลังสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นรัฐล้มเหลว ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกและภูมิภาคที่ประเทศไทยเคยมีบทบาทนำ ก็กลับต้องลดหรือสละบทบาทนั้น เพราะการเมืองในประเทศเข้ามามีอิทธิพลครอบงำนโยบายต่างประเทศ ภาวะนี้กำลังกดประเทศไทยลงสู่ที่ต่ำ ซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อประชาชนชาวไทยผู้สามารถ แต่ถูกระบอบเผด็จการไทยกีดขวางความเจริญก้าวหน้าอย่างจงใจ นี่คือเหตุผลที่เราต้องร่วมกันก่อตั้งองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๗ เพื่อแสดงว่าเราชาวไทยไทยมิได้งอมืองอเท้าหรือยอมรับพฤติกรรมเช่นนั้นโดยดุษณี

เราถือว่า ความสุ่มเสี่ยงต่อสภาพรัฐล้มเหลว หรือ failed state ตามคำนิยามสากล เป็นวิกฤติการณ์อันใหญ่หลวงของประเทศไทย เพราะไม่ว่ากลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองใดได้ชื่อว่าชนะ หรือสีใดอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ ความล้มเหลวของรัฐไทยจักเป็นคำตอบสุดท้ายของพวกเราทุกๆ คนไม่ว่าจะอยู่ในแผ่นดินไทยหรือในต่างประเทศ องค์การเสรีไทยฯ จึงขอประกาศว่า ยุทธศาสตร์ในการป้องกันมิให้รัฐไทยต้องกลายสภาพเป็นรัฐล้มเหลว คือการกำจัดระบอบเผด็จการไทยแบบถอนรากถอนโคน หากเราศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ต่อสู้กับระบอบเผด็จการไทยในอดีต เราจะพบว่าเรายังมิได้ใช้ชัยชนะแต่ละครั้งของฝ่ายประชาชนเข้าไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างของรัฐเพื่อกำจัดระบอบเผด็จการอย่างจริงจังเลย ระบอบเผด็จการไทยจึงหลบซ่อนตนเองอยู่ในเปลือกนอกของรัฐที่ดูเสมือนประชาธิปไตย และวางแผนช่วงชิงอำนาจกลับคืนอยู่ตลอดเวลา สงครามเพื่อประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทยจึงต้องย้อนกลับไปสู่การปฏิวัติประชาธิปไตยเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ เสมอ เพราะระบอบเผด็จการไทยถือเอาจังหวะนั้นชักธงรบกับฝ่ายประชาชนไทยอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตราบถึงปัจจุบัน

องค์การเสรีไทยฯ ตระหนักดีว่า เป้าหมายในการถอนรากถอนโคนระบอบเผด็จการไทยเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงและต้องระดมทรัพยากรในด้านต่างๆ มากมาย แต่เราก็ต้องตั้งต้นให้ได้ ด้วยการประกาศเป้าหมายย่อย ๓ ประการดังนี้ :

๑. ยกเลิกสถาบันองคมนตรีโดยเด็ดขาดในทันที ในระยะราวสิบปีที่ผ่านมา ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศได้ประจักษ์ด้วยสายตาตนเองแล้วว่า อิทธิพลและการก้าวก่ายทางการเมืองของประธานองคมนตรีและองคมนตรีบางคนได้ปรากฏชัด เสมือนต้องการประกาศให้รู้ว่าคณะองคมนตรีคือคณะผู้บริหารตัวจริงของระบอบเผด็จการไทย มิใช่รัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง วิกฤติการณ์การเมืองของไทยครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการดำรงอยู่และการทำงานของสถาบันองคมนตรีในทางที่เป็นโทษต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทยมาโดยตลอด องคมนตรีจะต้องไม่อยู่ในฐานะที่เป็นระบบบริหารหลักหรือเป็นคณะผู้บริหารทางเลือกของรัฐอีกต่อไป 

๒. กองทัพไทยต้องยุติสภาพความเป็นกองกำลังส่วนตัวของระบอบเผด็จการไทย และมองประชาชนไทยในฐานะเพื่อนร่วมชาติและมนุษย์ที่มีฐานะเสมอภาคเท่าเทียมกัน หรืออย่างน้อยก็ตระหนักแก่ใจว่าเงินเดือนของทหารทุกๆ นายได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน สภาพจริงของกองทัพไทยที่เป็นรัฐซ้อนรัฐ มักกระทำตนเป็นตัวแทนทางอำนาจของอภิสิทธิ์ชน อันเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีอำนาจมากในสังคมไทย เรารู้ดีว่า กำลังพลของกองทัพไทยมิได้เห็นชอบกับภารกิจรับใช้ครอบครัวบางครอบครัวหรือชนกลุ่มน้อยเพียงบางกลุ่ม แต่ต้องฝืนใจทำเพราะถูกกำหนดด้วยกรอบของวินัยทหาร เราจึงขอร่วมมือร่วมใจกับกำลังพลประชาธิปไตยในกองทัพไทยเพื่อเปลี่ยนแปลงกองทัพไทยให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพไทยที่มีผลต่อการควบคุมรัฐ จะต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของประชาสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเคลื่อนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ การใช้ทรัพยากรอื่นๆ ของกองทัพไทย ไม่ว่าจะเป็นเงินงบประมาณไปจนถึงที่ดินในเขตทหาร จะต้องอยู่ภายใต้ระบบตรวจสอบเดียวกันกับพลเรือน ระบบศาลทหารจะต้องไม่มีอำนาจซ้อนกับระบบตุลาการหลักของประเทศ เว้นแต่ในยามศึกสงคราม อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางขั้นต้น เมื่อถึงเวลาอันควรแล้ว ประชาชนชาวไทยทั้งมวลจะต้องมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงกองทัพไทยให้เป็นของตนด้วย

๓. อำนาจตุลาการและศาลไทยต้องพ้นจากการแทรกแซงและใช้อิทธิพลของระบอบเผด็จการไทย ขณะนี้แทบไม่มีประชาชนชาวไทยที่มีใจเป็นธรรมจะเชื่อว่า ระบบตุลาการไทยจะนำมาซึ่งความยุติธรรมอย่างแท้จริงได้ โดยเฉพาะในแสวงหาทางออกอย่างถูกต้องและเหมาะสมในทางการเมือง ผู้พิพากษาในระดับต่างๆ ส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์โยงใยใกล้ชิดกับระบอบเผด็จการไทย ส่วนมากได้รับความอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้มีอำนาจเหล่านี้อีกด้วย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ ระหว่างชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่ท้องสนามหลวง ก็ได้เปิดเผยแถบบันทึกเสียงการสนทนาของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งแสดงหลักฐานของอำนาจแฝงเร้นเบื้องหลังระบบตุลาการอย่างชัดเจนมาแล้วครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับกองทัพไทย ผู้พิพากษา ผู้ช่วยผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ของศาลเป็นจำนวนมากล้วนต้องการประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ ซึ่งมีความหมายว่าอำนาจตุลาการจักต้องเป็นอิสระและมีเกียรติยศ เราก็จะทำงานร่วมกับท่านเหล่านั้นในการปลดปล่อยสถาบันตุลาการจากพันธนาการของระบอบเผด็จการไทยให้ได้ในวันหนึ่ง 

ในวาระครบรอบหนึ่งปีนี้ องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยขอตั้งมั่นที่จะเดินหน้าร่วมสรรค์สร้าง “ระบอบประชาธิปไตยประชาชน” โดยไม่เกรงกลัวอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนี้องค์การเสรีไทยฯ ได้ขยายสาขาไปถึง ๕๑ จังหวัดในประเทศไทย และอีก ๑๘ ประเทศทั่วโลก และจะก้าวเดินต่อไป รวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานประสานงานอย่างเปิดเผยในระดับโลกด้วย องค์การเสรีไทยฯ จะกระทำสิ่งที่เราเชื่อว่าถูกต้อง ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจทั้งหมด เพราะความสำเร็จของประเทศไทยเป็นเรื่องสำคัญอย่างเอกอุ ที่ต้องกระทำการทุกอย่างอย่างถูกต้อง จริงจัง และด้วยความละเอียดรอบคอบเป็นที่สุด และต้องป้องกันทุกอย่างมิให้ผู้ใดมากระทำการสวนหลักการนี้และสกัดกั้นมิให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลวในที่สุดได้. 


ประกาศ ณ วันพุธที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย



Statement of The Organization of Free Thais For Human Rights And Democracy
Upon The First Anniversary Wednesday, June 24, 2015

“Thailand Is At High Risk Of Becoming A Failed State”


Since Thailand’s political crisis has arisen around the year 2005, with the undemocratic network of Thailand deliberately destroying our young democratization on several fronts, and particularly the self-legitimized military takeover on May 22, 2014, Thailand as a state member of the United Nations deteriorates politically, economically, and socially. Cores of democratization have been undermined. People’s rights have been violated and abused. Long-term visions of the country cease to exist, as political short-sightedness and petty revenge come to replace. In short, Thailand risks becoming a failed state, in the midst of global and regional challenges that put Thailand in a state of leadership or at least a significant player. Linkage politics, or the state of domestic determinants affecting foreign policies, of these anti-democracy elements, are bringing Thailand down. It is incredibly unfair to our citizens, whose grittiness and determination to engage in the world remain strong, to have a dictatorship regime blocking their opportunity. Thus, the Organization of Free Thais For Human Rights And Democracy is founded exactly one year ago on June 24, 2014, stating that we the Thai people do not take this situation passively or for granted. 

We regard the risk of becoming a failed state is Thailand’s major crisis. No matter which ideological group wins. No matter which colour is of advantage. The failure of the state of Thailand will be the ultimate end game to all Thais in Thailand and outside. We thus announce that the main strategy to prevent a failed-state status is the total elimination of Thailand’s dictatorship network. Our past struggle against dictatorship had confirmed that we the people stopped short of transforming a few past victories into the restructuring of the state of Thailand to rid ourselves of such dictatorial elements. Thailand’s dictatorship network still hides behind the facade of democracy, with continual effort to regain the upper hand. The battle for Thailand’s democracy must always bring us back to the revolution of 1932, as Thailand’s dictatorship network had grabbed that opportunity since then to battle with the people’s side until the present. 

Our organization realizes how gigantic this task is, and how much we must pull all kinds of resource to turn it into the reality. However, we must give it a start now, with the following 3 immediate goals in mind:

1. Abolish the Privy Council. In the past 10 years or so, most Thai people have witnessed with their own eyes that enormous political influence and subsequent interference of the Privy Council’s President and some of its members have been visibly exhibited, as if to show that the Privy Council were the de facto government of Thailand and not the elected parliament and government. Thailand’s ongoing political crisis stems from the negative and anti-democracy existence and role of the Privy Council all along. The Privy Council must not be allowed as an alternative to power struggle any longer.

2. Thailand’s armed forces must withdraw from the role of personal army of Thailand’s dictatorship network, and regard all Thai citizens as equal human beings. The actual status of Thailand’s armed forces as state within the state reduce them to the service of Thailand’s privileged class, which is actually the minority who enjoys so much power in the Thai society. We understand that most members of the armed forces are not in agreement with the service for a family or a few privileged groups, but they are forced in the strictness of military disciplines. We pledge to work along with these democratic cells of the armed forces to transform them into those of the people. Crucial military positions must be closely monitored, so must the usage of military personnels and weaponry. The management of other resources, from the budget to military “prohibited” areas, must be administratively watched. Military tribunal must not exceed the powers of the Judiciary, except in a time of war. All these measures are only the beginning. In due time, the Thai public must participate in the process of democratizing Thailand’s armed forces.  

3. Thailand’s Judiciary must be beyond the political interference and influence of the dictatorship network. Not many Thais today believe that justice can be granted through the current state of the Judiciary, especially as a solution provider of ongoing political crisis. Quite a number of judges have close ties with the dictatorship network, and are firmly under their patronage. In 2007, during a democratic rally at Sanam Luang in Bangkok, there was a disclosure of an audio clip showing some judges and a government official planning their political strategy. As in Thailand’s armed forces, most judges, associate judges, and court officials wish for true and complete democracy, meaning that the Judiciary be regarded as free and unquestionably honourable. We also wish to work with them at an appropriate time.   

The organization of Free Thais For Human Rights And Democracy, in its first anniversary today, pledges to continue the effort in furthering Thailand’s democratization. On operations and networking, we have expanded to 51 provinces in Thailand and 18 other countries around the world, and will achieve more in due time, including a public coordinating office. Our organization intends to do what is right and not always what is temporarily popular. Thailand’s fate of not becoming a failed state is the most serious matter, as well as the state of democracy around the world. This mission requires absolute seriousness and prudence all through.   

Dated: Wednesday, June 24, 2015                


Charupong Ruengsuwan
Secretary-General

The Organization of Free Thais For Human Rights And Democracy

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

งบราชสำนักอังกฤษน้อยนิดเมื่อเปรียบกับของไทยแต่ทำไมคนอังกฤษยังไม่ยอมให้เพิ่มแล้วไทยทำไม...?



●คนไทยกำลังจะอดตายแต่ทำไมเจ้าไทยไม่สำนึก..ดูจากข่าวงบประมาณของเจ้าอังกฤษแล้วสะกิดใจหันมาดูงบเจ้าไทยก็จะรู้ความจริงว่าทำไมท่านจึงชอบระบอบเผด็จการทหาร

●กษัตริย์อังกฤษได้งบประมาณ2พันล้านชาวบ้านยังโวย(คนอังกฤษเดินขบวนประท้วงทั่วประเทศคนไทยในอังกฤษอารมเดียวกันเข้าร่วมด้วยช่วยกัน,ดูคลิบด้านล่างประกอบ)ส่วนรัฐบาลทหารพระราชาไทยจัดงบงบปี2559ให้เจ้าไทยร่วม2หมื่นล้าน(ยังไม่รวมโครงการพระราชดำริอีกแสนล้านและงบที่แอบแฝงในงบกลางสำนักนายกฯที่ประยุทธ์ตั้งไว้เผื่อให้เจ้าสูงถึง3แสนล้านบาททั้งปี58และ59)คนไทยรู้แต่ต้องเงียบเพราะ112และเงียบเพราะถูกฉีดยาชาเศรษฐกิจพอเพียง..ประชาชนสงสัยคสช.จัดงบให้เต็มที่เพื่อสนองการอนุญาตให้ยึดอำนาจใช่ใหม?..แล้ว คนไทยจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร?
------------
●รายละเอียดข่าวจากอังกฤษ:Jun20,2015:อังกฤษกำลังประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแต่การจัดงบของพรรคอนุรักษ์นิยมให้แก่ราชวงศ์อังกฤษกลับไม่กระทบ,โดยรัฐบาลกลับหันมาตัดงบภาคบริการสังคมของประชาชนโดยเน้นนโยบายให้ทุกคนอดออมและอดทนตามนโยบาย"รัดเข็มขัด"ของรัฐบาล
จากรายงานของเดอะเทเลกราฟ,ราชวงศ์อังกฤษของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบ็ธที่สองจะไม่ถูกตัดทอนงบประมาณไปอีกสองปีแม้ว่าจะมีรายรับเพิ่มสูงขึ้น11เปอร์เซนต์,จากเหตุดังกล่าวทำให้ประชาชนไม่พอใจออกมาเดินขบวนทั่วประเทศ,ขณะที่นักรณรงค์บางส่วนเรียกร้องให้มีการทบทวนงบประมาณของราชวงศ์เสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาล

นายเดวิดคาเมรอนนายกรัฐมนตรีและนายจอร์จออสบอร์นผู้เสนอการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ให้กับราชวงศ์ซึ่งทำให้ราชวงศ์กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้งบเพียง36.1ล้านปอนด์(ราว1,898ล้านบาท)เป็น40ล้านปอนด์(ราว2,104ล้านบาท) ประชาชนนักรณรงค์เรียกร้องให้ทำการทบทวนการจัดสรรรายได้ให้กับราชวงศ์เสียใหม่เพื่อให้ราชวงศ์อังกฤษมีส่วนช่วยในมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลด้วย

ด้านแหล่งข่าวในสำนักพระราชวังอ้างว่าพวกเขาต้องการงบประมาณดังกล่าวเพื่อนำไปใช้ซ่อมแซมพระราชวังต่างๆพร้อมยืนยันว่าหากมีการตัดงบประมาณของเจ้าส่วนนี้รัฐบาลจะต้องเจอกับการต่อต้านจากฝ่าย"หัวเก่านิยมเจ้า"ที่เป็นฐานเสียงของพรรครัฐบาลอย่างแน่นอน

รายได้ของราชวงศ์อังกฤษเพิ่มขึ้นเนื่องจากการใช้ระบบจัดสรรงบประมาณแบบ"Sovereign Grant"ซึ่งแบ่งเปอร์เซนต์จากกำไรของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนเฟื่องฟูเป็นอย่างมากทำให้สำนักทรัพย์สินฯมีรายได้สูงขึ้นตามไปด้วย

ภายใต้เงื่อนไขของSovereign Grantปี2011 การจัดสรรงบประมาณจะมีการทบทวนทุกๆ 5 ปีซึ่งจะครบรอบการพิจารณาอีกครั้งในเดือนเมษายนปีหน้าและการเปลี่ยนแปลงใดๆจะมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณในปีถัดไปทำให้ราชวงศ์จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลไปอย่างน้อยอีกสองปี

นายโจนาธาน อิสบี ประธานกลุ่มพันธมิตรผู้เสียภาษีกล่าวว่า "ไม่ควรมีงบประมาณสาธารณะใดๆที่จะไม่ถูกตรวจสอบและนั่นรวมไปถึงงบประมาณของราชวงศ์ด้วย"

นายแกรแฮม สมิธ ประธานกลุ่ม"รีพับลิก" องค์กรต่อต้านระบบกษัตริย์ในอังกฤษกล่าวว่า ระบบจัดสรรงบประมาณให้กับราชวงศ์ในปัจจุบันจะต้องถูกยกเลิกและทำการร่างข้อกำหนดขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเนื่องจากระบบในปัจจุบันทำให้รายได้ของราชวงศ์มีแต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยมิได้มีการพิจารณาถึงความชอบธรรมใดๆ
"หน่วยงานของรัฐบาลทุกแห่งจะต้องผ่านการพิจารณางบประมาณที่เรียกร้องมาเป็นรายปีเหมือนกันหมดทำไมเราจึงไม่ทำแบบเดียวกันกับงบประมาณของราชวงศ์แบบนี้ทำให้งบประมาณของพวกเจ้าขาดการควบคุม"นายสมิธกล่าว

●ข่าวต่อ:กระแสการเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการคสช.ในต่างประเทศมีตลอดตามเงื่อนไขและโอกาสเพราะมวลชนรับรู้ร่วมกันแล้วว่าคสช.คือตัวแทนระบอบเผด็จการโบราณที่เลวร้ายที่สุด,20มิย.58คนไทยในลอนดอนได้ร่วมขับไล่"เผด็จการประยุทธ์"รัฐบาลของพระราชาไทยโดยทำแนวร่วมกับขบวนประท้วงของชาวอังกฤษที่มีปัญหาร่วมกันคือการจัดงบประมาณให้เจ้าอังกฤษมากไปของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมที่แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยมาตรการรัดเข็มขัดเฉพาะทำกับประชาชนโดยมีป้ายประท้วงว่าThai Junta must go, Down with the dictator และ Stop supporting Thai military regimeและในขบวนมีการใส่เสื้อสีดำข้อความ NO COUP โดยการเดินขบวนดังกล่าวได้รวมตัวด้านหน้าธนาคารอังกฤษย่านถนนควีนวิคตอเรียไปยังจุดที่รัฐสภา

https://www.youtube.com/watch?v=SExXwDuXzCQ







วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ข่าวลับกรองแล้ว13มิถุนายน2558 "ปู่หมดน้ำยารับคำท้าออกมาโชว์ตัวไม่ได้แล้ว"




สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.)  http://thaiscandemo.blogspot.com/

*แต่เดิมใครท้าว่ากษัตริย์ภูมิพลหมดสภาพแล้วเป็นไม่ได้ท่านจะถ่อกายออกมาโชว์ทุกครั้งเพื่อยืนยันว่า"ข้ายังอยู่นะว้อย"แต่คราวนี้เห็นทีไม่มีอีกแล้วนับแต่กลับเข้าโรงพยาบาลครั้งล่าสุดเพราะแม้ยังไม่หมดลมหายใจแต่แค่จะตั้งกายให้นั่งรถเข็นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว...หากวันนี้อาจารย์สุรชัย แซ่ด่านจะประกาศท้าขี้ข้าก็ไม่กล้าเข็นออกมาให้ใครเห็นเพราะหมดสภาพจริงๆ...ยิ่งเห็นก็ยิ่งเสื่อมและสังเวชเพราะปากที่เคยหุบไม่ลงก็ยังคงเดิมแถมใบหน้าลูกกะตาก็จะเอ๋อตามภาวะของสมองที่หมดสภาพจากการช็อคและกู้คืนยาก...คงปิดบังอำพรางไม่ได้แล้ว

*ข่าววงในการกลับมาศิริราชครั้งล่าสุดนั้นเกิดอาการช็อคหมดสติจึงเกิดคำสั่งว.กระทันหันเร่งด่วนทั้งรถทั้งเครื่องบิน...จึงเกิดสายข่าวต่างประเทศรายงานว่าท่านเด็จทางฮ.แต่ไม่ว่าเด็จทางใหนหมอใหญ่ก็ไม่กล้าให้สัญญาว่าจะสามารถรักษาให้กลับมาแค่เก่า(ที่ปากหวอยกแขนไม่ขึ้น)ได้,วันนี้คงไม่กล้าปากแข็งสัญญาแล้ว

*ปิดอย่างไรก็ไม่มิดไม่รู้คิดได้อย่างไรที่แถลงว่า"เป็นการตรวจสุขภาพตามปกติ"แต่10กว่าวันแล้วยังตรวจไม่เสร็จสักที?...ถึงวันนี้ยังไม่มีแถลงการณ์เลยว่าอาการตรวจปกติเป็นอย่างไร?แต่กลับมีข่าวลือว่าตายแล้วทั่วประเทศพร้อมทั้งข่าวเตรียมพร้อมของทหารสายใครสายมันทั้งชายทั้งหญิงที่ทำท่าฮึ่มๆใส่กันตามมาไม่เว้นแต่ละวัน

*ความผิดปกติมีให้เห็นที่ศาลา100ปีศิริราชที่เคยตั้งโต๊ะแล้วเกณฑ์คนจากหน่วยราชการต่างๆทั่วประเทศใช้งบส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์เวียนกันเดินทางมาคารวะรูปภาพคล้ายๆเคารพรูปงานศพนั้นถูกยกเลิกแล้วเมื่อร่างของภูมิพลมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่1มิถุนายน...เหตุผลสำคัญเพราะนับแต่นี้กิจกรรมเกี่ยวกับรัชกาลที่9ที่แสดงออกถึงการมีพระพลานามัยสมบูรณ์จะต้องลดโทนลงทั้งหมดเพราะเห็นว่ากิจกรรมใดๆที่กระตุ้นให้คนสนใจและคอยแต่จะมาเฝ้ารับเสด็จล้วนแล้วแต่ไม่เป็นประโยชน์เพราะเป็นการกระตุ้นให้เกิดความสนใจเกี่ยวกับ"พระอาการ"ที่"หมดอาการ"แล้ว,ยิ่งปกปิดข่าวหมดสภาพยากใหญ่...คิดแล้วมีแต่เสียมากกว่าได้

*สัญญานที่บอกให้รู้ความจริงว่าดวงตะวันเก่าจะลับฟ้าก็คือการสร้างภาพลักษณ์ของดวงตะวันใหม่ก็ดูเอาจริงเอาจังเสมือนการเสริมภาพฟ้าชาย(ที่ไม่ค่อยจะสร้างภาพ)เช่นทำการฟอกขาวภาพราชสำนักด้วยการปราบปรามขุนนางกังฉินอย่างนายมนตรีกรมวังที่เป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ...แต่สปท.มองเกมส์นี้ว่าฟ้าชายยิงนกด้วยกระสุนนัดเดียวแต่ได้นกทั้งฝูงเพราะสิ่งที่ได้แน่ๆคือแสดงบารมีอำนาจว่าคนในวังถ้ายังรักชีวิตที่สุขสบายก็ทำตัวให้ดีๆในช่วงเปลี่ยนผ่านไม่เช่นนั้นจะเจอของแข็ง

*แม้หมอไม่แถลงเรื่องจริงแต่โอบาม่าประธานาธิบดีสหรัฐแถลงเองก็ได้...อาการโคม่าของภูมิพลในการกลับเข้าศิริราชอย่างฉุกเฉินรายงานถึงทำเนียบขาวจนโอบามาต้องออกมาพูดถึงในงานต้อนรับผู้นำเยาวชนแห่งเอเซียที่ทำเนียบขาว

*สัญญานใหญ่ที่ประยุทธ์บอกใบ้ด้วยตัวเองว่ากษัตริย์ใกล้ม้วยมรณาก็คือการส่งสัญญานว่าจะอยู่ต่ออีกสองปีโดยให้พระสุวิท(พุดไถอิสระ)พาพรรคพวกออกมายื่นหนังสือเรียกร้องให้ทำประชามติขอให้ยุทธ์เหล่อยู่ต่อเพราะคสช.เตรียมแผนไว้แต่ต้นว่าเวลากษัตริย์ใกล้ตายคือนาทีทองของการเสวยอำนาจ,เมื่อได้จังหวะสุเทพก่อหวอดคสช.ก็ช่วยหนุนและวันนี้ก็ปล้นอำนาจสำเร็จแล้วเมื่อกษัตริย์ตายอย่างไงก็เลือกตั้งไม่ได้เพราะแค่จัดงานศพก็หมดปีแล้วก็เข้าล็อคจึงแพลมไต๋ทันทีให้มีสุนัขรับใช้ออกมาเห่าหอนถามทาง...สภาพฝันหวานของยุทธ์เหล่ที่ทำเฉไฉมองเห็นแล้วไทยฉิบหายแน่ๆ

*เข้าล็อคเสรีไทยที่เลขาใหญ่จารุพงศ์ประกาศกับประชาชนมาตั้งแต่ต้นเมื่อรัฐประหารเสร็จใหม่ๆว่าอย่างไงอย่างไง๋คสช.ก็จะไม่ให้มีเลือกตั้งแน่นอน...วันนี้ก็ชัดเจนแล้ว

*ประธานาธิบดีอเมริกา(ไม่ได้นั่งว่างๆแบบประยุทธ์ที่วันๆนั่งคิดแต่ถ้อยคำที่จะใช้เสียดสีนักข่าวและแสวงหาอำนาจไม่รู้จบ)ร้อยวันพันปีไม่ได้พูดถึงอาการป่วยของกษัตริย์ภูมิพลเลย(ทั้งที่ป่วยมานาน)ยังต้องเอ่ยถึงสุขภาพเป็นครั้งแรกเพราะได้รับรายงานสายตรงจากสถานฑูตในไทยและสำนักข่าวกรองที่ได้ข่าวจากก้นวังอย่างแม่นยำว่ากษัตริย์ภูมิพลหมดสภาพแล้ว...จากนี้จะพูดอีกทีตอนไว้อาลัย

*ใครก็รู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลคือผู้กุมนโยบายรัฐตัวจริง(ยกเว้นอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ไม่รู้)ดังนั้นการจะจากไปของกษัตริย์ภูมิพลหมายถึงความเสี่ยงภัยทางนโยบายของไทยที่สหรัฐอเมริกาจะต้องจับตามองหลังจากที่ไทยมีนโยบายคงที่มายาวนานกว่า50ปีตลอดรัชสมัย...นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่โอบามาออกมากล่าวถึงและมีภาพนั่งคุยกับทักษิณสองต่อสองที่เยอรมันออกเผยแพร่

*เห็นภาพทักษิณนั่งคุยกับโอบามาก็ยิ่งเวทนาประยุทธ์กับพลเอกธนะศักดิ์ที่วิ่งไล่งับยึดพาสปอร์ตและจะถอดยศทักษิณเพราะนั่งคุมงานต่างประเทศแต่เกรดต่ำแค่งานอาชีวะ

*ทำท่าไล่ล่าจะถอดยศทักษิณทั้งๆที่ไม่ได้ทำผิดฆ่าคน...ระวังให้ดีเดือนนี้เป็นเดือนตายของรัชกาลที่8ที่ทุกคนรู้แล้วว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นคนสังหารพี่ชายระวังอีกไม่นานจะมีคนเสนอให้ถอดยศกษัตริย์ภูมิพลในฐานะฆาตรกรตัวจริงรวมทั้งการสั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์14ตุลา2516 และ6ตุลา2519และกรณีเหตุการณ์ราชประสงค์เลือด"ไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั่งยิง"รวมทั้งคณะคสช.ทั้งชุดที่เป็นมือสังหาร...เพราะประยุทธ์ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้าพระราชาก็ต้องตายแต่ประวัติศาสตร์ของประชาชนที่ถูกต้องเป็นจริงจะต้องปรากฎขึ้น

*ภาพการปรากฎตัวของทักษิณในที่สาธารณะปรากฎถี่ขึ้น,ภาพยิ่งลักษณ์ก็กระชั้นถี่ในประเทศถ้าประยุทธ์ยังไม่รู้ทีว่านี้คือสัญญานทางการเมืองที่กำลังบอกยุทธ์เหล่ว่างานกำลังจะเข้าก็คงจะสมแล้วกับการเป็นตุ๊กตาของเล่นของวังที่ชอบปั้นคนโง่ๆไว้ใช้งาน
*อย่าคาดหวังว่าข่าวกษัตริย์ภูมิพลสิ้นชีวิตจะเกิดขึ้นในเร็ววันเพื่อจะเกิดรัชกาลใหม่เพราะขบวนการยื้ออำนาจในราชสำนักจะดึงให้ยาวนานที่สุดแม้ตายแล้วก็จะเก็บร่างไว้เพื่อใช้เป็นเหตุว่าท่านยังอยู่ก็ยังตั้งรัชกาลใหม่ไม่ได้ตาม"สังฆราชญานสังวรโมเดล"จนวันนี้นานกว่า10ปีแล้วมีแต่ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสังฆราชโดยอ้างราชประเพณี...ชัดเจนแล้วว่ารัชกาลที่10ไม่มี(จะมีก็แต่ผู้สำเร็จราชกาลแทน)และคนที่ทำลายสถาบันกษัตริย์มิใช่ใครอื่นคือกษัตริย์ภูมิพลเอง

*การสถาปณารัชกาลที่10เมื่อรัชกาลที่9ไม่ทำ,องคมนตรีก็ไม่จัดการส่วนรัฐบาลก็อาศัยหารับประทานไปวันๆแล้วจะให้ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำเพราะเศรษฐกิจฝืดเคืองเป็นคนทำเรื่องนี้ได้อย่างไร?...ความรับผิดชอบของคนพวกนี้ที่เฝ้าสอนประชาชนให้"รับผิดชอบต่อหน้าที่"อยู่ที่ใหนกัน?

*ย้ำอีกทีนับแต่นี้ไปกฎหมายไทยทั้งหมดเถื่อนหมดและการใดๆทั้งหมดที่อ้างว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ลงนามล้วนแล้วแต่ปลอมลายเซนต์ทั้งสิ้นเพราะป๋าอ้าขายกแขนไม่ได้แล้ว

*สายข่าววงในของสปท.ยังมีประสิทธิภาพพิสูจน์ได้จากข่าวขณะนี้ว่า"คุณพ่อตา"ของเสี่ยหรือคุณพ่อของราชองครักษ์หญิงคนสำคัญที่ทำงานเก่งมากปีเดียวยศขึ้นจากพันตรีเป็นพลอากาศตรีหญิงสุธิตากำลังนอนพักฟื้นจากการผ่าตัดตับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเหมือนกัน(ทั้งที่ข่าวหนังสือพิมพ์ไม่ได้ลง)แต่ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว...พบกันใหม่ในเร็ววันหากมีข่าวด่วนยิ่งกว่านี้//
-----------จบ-----------

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความตลบตะแลงของเผด็จการทหาร คสช.ถูกบรรยายอย่างเป็นวิชาการ

(บางตอนจากอ.ธงชัย วนิจกุลUSA)
พฤหัสบดี, มิถุนายน 11, 2558



รัฐบาลทหารไทยกับการพูดอย่างทำอย่าง
●ที่มา ประชาไทWed, 2015-06-10 15:18
ธงชัย วินิจจะกูล และ Tyrell Haberkorn
แปลโดย พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

สำหรับคสช.การสมานฉันท์หมายถึงการขจัดความขัดแย้งทางสังคมหรือการเมืองในภายนอก
การปรับทัศนคติหมายถึงการยอมรับความเห็นตามที่กำหนดโดยรัฐบาลทหารอย่างดุษฎี ส่วนปฏิรูปหมายถึงการย้อนเวลากลับไปก่อนจะมีระบอบประชาธิปไตย การพูดอย่างทำอย่างแบบที่ออแวลล์กล่าวไว้เกิดขึ้นในประเทศไทยภายใต้ระบอบคสช.

การพูดอย่างทำอย่างไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่หรือเกิดขึ้นเฉพาะเมืองไทย ในปี 2553 รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะสั่งปราบปรามอย่างรุนแรงต่อการประท้วงของคนเสื้อแดงใจกลางกรุงเทพฯเขาเรียกการปราบปรามครั้งนั้นว่าเป็น“การขอคืนพื้นที่”
ภายใต้ “ระบอบใหม่ - NewOrder”รัฐบาลอินโดนีเซียในช่วงปี 2508-2541สั่งคุมขังประชาชนหลายหมื่นคนในคุกที่อยู่บนเกาะพวกเขาเรียกว่าเป็น“โครงการด้านมนุษยธรรม - Humanitarian Project” จะในอดีตหรือปัจจุบัน การใช้วาทศิลป์เหล่านี้ไม่สามารถปกปิดความรุนแรงที่อยู่เบื้องหลังความจำเป็นที่ต้องการสร้างคำที่มีความหมายคลุมเครือเลย
การพูดอย่างทำอย่างของรัฐบาลทหารไทยในปัจจุบันแตกต่างจากการใช้วาทศิลป์ในยุคเดิมอยู่บ้างบางประการ

ประการแรก การพูดอย่างทำอย่างของรัฐบาลทหารประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เพราะมีผู้สนับสนุน พวกเขาเป็นผู้มีอิทธิพลและร่ำรวยในสังคมไทย,คนเหล่านี้มีความเข้าใจคล้ายคลึงกันในแนวคิดหลักๆสำหรับรัฐบาลทหารและบรรดาผู้สนับสนุนประชาธิปไตยของพวกเขาหมายถึงระบอบปกครองของคนดีที่ไม่โกงเป็นผู้ที่สามารถทำให้เกิด“ความสามัคคี”ซึ่งเป็นอีกคำหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย พวกเขาเชื่อมั่นในเอกลักษณ์ของ“ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”การมีรัฐบาลของ“คนดี”ที่ปกครองประเทศในพระปรมาภิไธยของกษัตริย์ผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ,พวกเขาให้ความใส่ใจกับวิธีการปกครองน้อยกว่าศีลธรรมจรรยาตรงข้ามกับประชาธิปไตยแบบตะวันตกซึ่งพวกเขามองว่าส่งผลให้เกิดระบอบที่ชาวบ้านที่โง่เขลาเลือกตั้งนักการเมืองเข้ามาโกงกินบ้านเมืองถือว่าเป็นมรดกของการเมืองโบราณแบบพุทธ อย่างไรก็ดีคำว่า“ธรรมภิบาล”ในภาษาไทยซึ่งแปลมาจาก “good governance”มีความหมายว่า“การกำกับดูแลโดยธรรม”หรือการกำกับดูแลโดยกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ “ความสามัคคี” ซึ่งหมายถึงการรักษาระเบียบสังคมและการปราศจากความขัดแย้งร้ายแรงกลายเป็นหลักการสำคัญของการกำกับดูแลโดยธรรมภายใต้กรอบความคิดเช่นนี้ความสมานฉันท์ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความจริงหรือความยุติธรรมแต่กลับหมายถึงความสามัคคีที่เห็นได้จากภายนอกโดยมีการกลบเกลื่อนเสียงที่เห็นต่างและซุกอยู่ใต้พรม

ประการที่สอง มีช่องว่างใหญ่หลวงในแง่ความเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ เปรียบเทียบระหว่างผู้สนับสนุนรัฐบาลทหารฝ่ายหนึ่งกับผู้ที่เห็นต่างและประชาคมนานาชาติอีกฝ่ายหนึ่ง รัฐบาลทหารทราบดีว่าประชาชนจำนวนมากต่อต้านการปกครองของตนเองและไม่ได้หลงเชื่อไปกับการพูดอย่างทำอย่างของพวกเขาแม้เพียงชั่วขณะเดียว

รัฐบาลทหารตระหนักดีถึงความบกพร่องเช่นนี้ แต่ยังคงใช้วิธีพูดอย่างทำอย่างเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับผู้สนับสนุนฝ่ายตนเองเป็นเหตุให้รัฐบาลทหารต้องหาทางจัดการกับช่องว่างระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนตนเองกับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะประชาคมนานาชาติฝ่ายที่ส่งเสียงวิจารณ์ในประเทศต้องเผชิญกับการคุกคาม การจับกุมและการคุมขัง,เมื่อต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์กับทั้งองค์การสหประชาชาติ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล,ฮิวแมนไรท์วอทช์และรัฐบาลจากทั่วโลก,รัฐบาลทหารทำได้แค่ปฏิเสธอย่างรวบรัดว่าไม่เคยละเมิดสิทธิมนุษยชน,ไม่เคยจำกัดเสรีภาพและไม่เคยแทรกแซงประชาธิปไตย
การปราบปรามภายในประเทศอย่างเข้มงวดพร้อมกับการเพิกเฉยต่อเสียงวิจารณ์ของประชาคมนานาชาติต่างมุ่งตอบสนองความต้องการที่จะกระชับและตอกย้ำความสนับสนุนในประเทศของตนเอง

ประการที่สามและสำคัญสุด การพูดอย่างทำอย่างอย่างต่อเนื่องและซ้ำซาก ประกอบกับการใช้กฎหมายเอาผิดผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารเป็นการปิดกั้นไม่ให้เกิดความจริง,ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ก่อความรุนแรงลอยนวลพ้นผิด,ในขณะที่รัฐบาลปัจจุบันใช้ถ้อยคำบิดเบือนอ้างว่าการควบคุมตัวและทรมานเป็น“การปรับทัศนคติ”เป็นการใช้แนวทางเดิมแบบที่เคยเป็นมาซึ่งในอดีตรัฐไทยได้เคยปราบปรามพลเมืองมาในหลายเหตุการณ์รวมทั้งการสังหารประชาชนโดยไม่ต้องกังวลว่าต้องรับผิด,ล่าสุดในกระบวนการประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเหตุให้มีการฟ้องคดีอาญานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและพรรคพวกเมื่อปลายปี2556ต่อศาลอาญาในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาจากการปราบปรามนองเลือดเมื่อปี2553,พวกเขาอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งให้ปราบปรามผู้ชุมนุมเพียงแต่มุ่ง“ขอคืนพื้นที่”ของผู้ชุมนุมแต่ตามเงื่อนไขกฎหมายที่ยังคลุมเครือศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้องคดีต่อพวกเขา ภายหลังรัฐประหารล่าสุด

รัฐบาลทหารในปัจจุบันยังคงยืนยันว่าพวกเขาเป็นนักปฏิรูปที่ทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเพื่อสร้างความสมานฉันท์และคืนความสุขให้กับคนไทยและอ้างว่าตนเองไม่ได้เป็นเผด็จการ พวกเขารู้ดีว่าระบบตุลาการถือหางพวกเขาอยู่ หรือไม่ก็สามารถใช้ประโยชน์เพื่อทำให้การพูดอย่างทำอย่างของพวกเขาชอบด้วยกฎหมาย และสามารถปลดเปลื้องความรับผิดใดๆ

แต่ในขณะที่เสียงต่อต้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการประท้วงอย่างสงบในโอกาสครบรอบหนึ่งปีของรัฐประหารซึ่งนำไปสู่การจับกุมและควบคุมตัวนักศึกษากว่า50คนเริ่มทำให้เห็นรอยร้าวบนฉากหน้าแห่งความปรกติที่รัฐบาลทหารใช้วาทศิลป์แบบพูดอย่างทำอย่างสร้างเอาไว้,แม้จะมีการปล่อยตัวนักศึกษาโดยไม่ตั้งข้อหาแต่เพิ่งมีการตั้งข้อหาในตอนนี้ การชะลอการออกหมายเรียกนักศึกษาอย่างน้อย11คนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อพวกเขาในวันที่8มิถุนายนก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมของการพูดอย่างทำอย่าง รัฐบาลทหารคงหวังว่าจะลดกระแสความไม่พึงพอใจลงได้บ้าง,พวกเขาอาจหวังว่าประวัติศาสตร์การลอยนวลพ้นผิดที่ผ่านมาคงทำให้เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป

รัฐบาลทหารปัจจุบันใช้การพูดอย่างทำอย่างเป็นยุทธศาสตร์หลักในการปกครองประเทศและเปลี่ยนให้เป็นศิลปะแห่งความเหลวไหล,คนที่ใส่ใจต่อคนไทยอย่างพวกเราคงต้องให้ความหมายที่แท้จริงต่อคำว่า“ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”ซึ่งไม่มีอะไรต่างไปจากคำที่ใช้เรียกขานเผด็จการแบบในอดีตนั่นเอง

หมายเหตุ:
ธงชัย วินิจจะกูลเป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ที่ University of Wisconsin-Madison
Tyrell Haberkorn เป็นอาจารย์สอนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่ Australian National University

แปลจาก
The Thai junta’s doublespeak, New Mandala

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ร้อนระอุ ปิดไม่อยู่!! สื่อนอกแฉ เหตุของความวุ่นวายในไทยเพราะองคมนตรีจะแต่งตั้งพระเทพขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อ





Specter of Instability Rising Again in Thailand
New rounds of confrontation seem more likely than long-term reconciliation.

โครงสร้างของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย
รอบใหม่ของการเผชิญหน้าดูเหมือนจะมีโอกาสมากกว่าการปรองดองในระยะยาว


http://thediplomat.com/2015/06/specter-of-instability-rising-again-in-thailand/
............................................................

สื่อด้านยุทธศาสตร์ The Diplomat (4 มิถุนา 2558) ออกบทความวิเคราะห์สถานการณ์ ความขัดแย้งอันร้อนแรง ของไทย หลังจากบทให้สัมภาษณ์ของทักษิณ ชินวัตร ที่พุ่งเป้าไปเหนือประยุทธ

บทความ The Diplomat ตีแผ่ปัญหา "สตาร์วอรส์" (คำเรียกของสุรชัย แซ่ด่าน) ระหว่าง วชิราลงกรณ์ รัชทายาทตามกฎหมาย แต่พัวพันกับเครือข่ายอาชญากรรมของเมียเก่า ขณะที่น้องสาวที่ได้รับความนิยมมากกว่ามาก ฉลองงานวันเกิดครบ 60 ปี อย่างใหญ่โตมโหรทึก ส่งสัญญาณว่า คนไทยจะยอมรับให้น้องสาวขึ้นครองราชย์มากกว่าพี่ชาย

บทความ The Diplomat ชี้ว่าตัวสำคัญ อยู่ที่องคมนตรี ที่มีอำนาจแต่งตั้งสิรินธร ขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป ซึ่งสภานิติบัญญัติ (สนช.) ที่ทหารตั้งขึ้นมาเอง ก็คงให้การรับรอง

นักวิเคราะห์คนนี้ ชี้ว่าการที่ทักษิณ ตีไปที่กลุ่มองคมนตรี ว่าเป็นผู้ก่อรัฐประหาร ก็เพื่อส่งสัญญาณว่าถ้าองคมนตรีตั้งสิรินธรขึ้นเป็นกษัตริย์ กลุ่มของทักษิณก็จะไม่ยอมรับอำนาจและความชอบธรรมของการตั้งสิรินธรขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป

สื่อนอกต่างวิเคราะห์สัญญาณความรุนแรงในไทย และชี้ไปที่จุดเดียวกัน ว่าประเทศไทย ยังห่างไกลความมีเสถียรภาพทางการเมืองอย่างแน่นอน ทั่วโลกต่างได้เห็นความคุกรุ่นของภูเขาไฟ ที่รอวันปะทุ!!

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ข้อมูลจากสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับพระอาการและการเสด็จไปศิริราชโดยเฮลิคอปเตอร์หรือรถยนต์,น่าสงสัยทำไมสื่อไทยต้องโกหก?


แปลจาก น.ส.พ.Asia Sentinel ตีพิมพ์ใน Thai E-News
อ้างอิง: Thai King in Health Crisis?

บทความโพสต์ที่: สุขภาพพระอาการของของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู๋หัวทรงอยู่ในขี้นวิกฤตอย่างนั้นหรือ?


เห็นเพื่อนๆ หลายท่าน ส่งข้อความหลังไมค์มาถามถึงบทความเรื่องนี้ ดิฉันก็เลยแปลคร่าวๆ ให้อ่านกัน

(ไม่ทราบว่า บทความนี้ ถูกบล๊อกในประเทศไทยหรือไม่ แต่ขอแปลแบบกลางๆ ไม่ได้ไปหมิ่นประมาทใครต่อใครกัน ภาษาอังกฤษบางประโยค ไม่ขอแปลไว้ เพราะมีเรื่องแบบ sensitive อยู่ในนั้น)

แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ สื่อหลักๆ ของไทย ต่างรายงานกันแบบมืดมนกันหมด เกี่ยวกับการเสด็จสู่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเสนอให้เห็นว่า พระอาการของพระองค์ทรงอยู่ในขั้นวิกฤต ตามที่ Asia Sentinel ลงไว้


ท่านก็พิจารณากันเองก็แล้วกันว่า บทความนี้ มีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน...
แต่ที่เห็นแน่ๆ คือ ทางต่างประเทศได้เห็นความชัดเจนหลายอย่าง และบทความสามารถเขียนเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ได้ทั่วโลก ในเวลาไม่นานนัก มันถึงเวลาหรือยัง ที่เราควรจะทำความเข้าใจกับเรื่องของ "Elephant in the Room" กัน แทนที่จะปฎิเสธมาเป็นเวลานานมากแล้ว??
-----------------------



-----------------------
สรุปบทความ:
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์นำพระองค์ออกมาจากพระราชวังไกลกังวลอย่างรีบด่วน


1. มีการข่าวยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม โดยทรงเสด็จประทับเครื่องเฮลิคอปเตอร์จากพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน


2. ทางสำนักพระราชวัง ไม่ได้มีการประกาศอย่างละเอียดเกี่ยวกับสุขภาพที่แท้จริงของพระองค์เลย บทความกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระราชินีทรงมีพระอาการประชวรเท่าๆ กัน และดูเหมือนกับว่าทั้งสองพระองค์ ทรงอยู่ในพระอาการ ใกล้เคียงกับการปราศจากความรู้สึกตัว (Comatose)
3. แหล่งข่าวซึ่งมีความสัมพันธ์กับทางฝ่ายวังกล่าวว่า "ในหลวงของตนเพิ่งจะเสด็จพระราชดำเนินกลับมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับพระองค์"
4. บทความให้การคาดการณ์ว่า เมื่อเริ่มการเปลี่ยนรัชสมัยเกิดขึ้น มีการคาดหวังว่า จะมีการไว้ทุกข์เป็นเวลานานนับเดือน พระอาการของพระองค์เป็นเรื่องของกำลังขวัญกำลังใจที่สำคัญมากๆ สำหรับประชาชนพสกนิกรจำนวน 67 ล้านคน และตามคำแถลงการณ์ของฝ่ายรัฐบาลนั้น พระองค์ไม่เคยทรงเสด็จนิวัติออกนอกประเทศมาเป็นเวลานานแล้ว และพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างถ่อมตน ถึงแม้ว่าจะมีข่าวเรื่องของความร่ำรวยอย่างมหาศาลออกมาจากทางวังก็ตาม


5. รายงานข่าวกล่าวว่า การเสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์จากพระราชวังไกลกังวลที่อำเภอหัวหินนั้น ได้สร้างความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลันเกี่ยวกับ โอกาสที่จะมีการเปลี่ยนรัชสมัย และบุคคลผู้ใดจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจตามมา และข้อสำคัญที่สุดคือ สถาบันพระมหากษัตริย์เองจะอยู่รอดตลอดฝั่งหรือเปล่า เมื่อมีการเปรียบเทียบบุคลิกภาพของตัวบุคคลที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อไป รวมไปถึงการต่อสู้อย่างสุดขั้วภายในวังเองเกี่ยวกับเรื่องการครองราชย์ที่กำลังก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ


6. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเข้าสู่โรงพยาบาลเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว ในการผ่าตัดถุงน้ำดี (Gall Bladder) พระองค์ทรงประทับอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานานถึง 4 ปี ก่อนที่จะทรงเสด็จพระราชดำเนินออกไปที่พระราชวังไกลกังวล ในระยะเวลาสั้นๆ


7. เป็นเรื่องที่น่าเชื่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี ทรงประสบกับพระอาการในเรื่องหลอดเลือดในสมองตีบตัน (Strokes) มาเป็นระยะๆ แล้ว ซึ่งทำให้ทั้งสองพระองค์ ทรงอยู่ในอาการเสมือนบุคคลที่ไร้ความสามารถ (Incapacitated)
8. เมื่อสุขภาพของทั้งสองพระองค์ยังย่ำแย่อยู่ ก็มีรายงานข่าวรั่วออกมาจากวังเป็นระยะๆ ในเรื่องของเพทุบาย ลับลวงพราง และแผนการเล่ห์กลต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ทางสาธารณะเองก็เริ่มมีความหวาดหวั่นในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางฝ่ายทหารเองก็พยายามที่จะรักษาความศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขามของสถาบันฯ เอาไว้ ในขณะที่ตัวพลเอกประยุทธ จันทร์โอชายังอยู่ในอำนาจ ก็พยายามกำชับกวดขันในการควบคุมเรื่องสิทธิ์ของความเป็นพลเมืองและสิทธิ์มนุษยชน


9. มีการคาดคะเนกันว่า บุคคลที่จะเป็นตัวแทนของพระองค์ ก็คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามกุฎราชกุมาร ซึ่งมีพระชนมายุ 62 พรรษาแล้ว แต่ฝ่ายรัฐบาลทหารเองก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการก่อการรัฐประหาร ที่ได้รับการรับรอง (Ratified) จากทางฝ่ายวัง มีความเชื่อมาแต่ก่อนว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงมีความใกล้ชิดกับ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกรัฐประหารออกจากตำแหน่งไปเมื่อปี พ.ศ. 2549 แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว แหล่งข่าวกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงเปลี่ยนพระทัย ด้วยการให้การสนับสนุนกับฝ่ายพลเอกประยุทธและฝ่ายรัฐบาลทหารแทน..
10. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปรากฏตัวให้กับพสกนิกรได้เห็นกันบนเก้าอี้เข็น (Wheelchair) เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล ครบรอบการขึ้นครองราชย์สมบัติ 69 ปี และพระองค์ไม่ได้ทรงตรัสถ้อยคำอะไรให้กับทางประชาชนได้ฟังกัน รวมไปถึง สมเด็จพระบรมราชินีอีกด้วย เนื่องจากว่า พระอาการทรงมีความอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง พระราชดำรัสที่ทรงมอบให้กับประชาชนในวันปีใหม่นั้น ได้กลายมาให้สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นผู้อ่านเอง บทความกล่าวต่อว่า สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการดูแลกิจการภายในวังอยู่ทุกๆ วัน ในขณะที่สมเด็จพระบรมฯ เอง ทรงประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมนี แหล่งข่าวยังกล่าวต่อว่า บุคคลภายในวังเอง ต้องการที่จะเห็นสมเด็จพระเทพฯ ขึ้นมาเป็นกษัตรีย์ (Queen) ถึงแม้ว่า จะไม่เคยมีเรื่องนี้ปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย


11.ในขณะที่ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้ถูกนำออกมาใช้เพื่อปิดปากการวิพากย์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม ทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ยังต้องพึ่งกับการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้อยู่ ซึ่งยินยอมให้มีการลงโทษจำคุกได้นานถึง 15 ปี สำหรับใครก็ตาม ที่ทำการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และกฎหมายนี้ ก็ตีความกันอย่างกว้างขวางมาก เพราะใครก็ได้ ก็สามารถฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่า กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกัน นักวิจารณ์หลายๆ คนกล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้ ถูกนำมาใช้ให้เป็นอาวุธกับศัตรูทางการเมือง โดยไม่เพียงแต่กลุ่มอำมาตย์ชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ทางฝ่ายกองทัพเองซึ่งบริหารประเทศอยู่ในเวลานี้ ก็ทำการแบบนี้ด้วยเช่นกัน


12. ยังมีเรื่องที่น่าหัวเราะเยาะเป็นอย่างยิ่งในเรื่องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่การไล่ล่าผู้คนต้องมาถึงจุดๆ นี้ นั่นก็คือ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ทางศาลไทยได้ตัดสินให้ผู้หญิงอายุ 65 ปีที่มีอาการวิกลจริต ต้องถูกจำคุก เนื่องจากไปสบประมาทรูปของกษัตริย์ ในตอนแรกนั้น นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ ได้ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี แต่ทางศาลศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา หลังจากที่อัยการสั่งฟ้องต่อ ยังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากมาย และอาจจะถึงนับร้อยคน ที่ยังอยู่ในคุกตารางเกี่ยวกับเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่จำนวนแท้จริงนั้น ไม่มีใครทราบว่า มีเท่าไรแน่


13. ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนกับว่า พลเอกประยุทธ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีความตั้งใจที่จะให้สัญญาว่าจะส่งอำนาจกลับคืนสู่รัฐบาลพลเรือนในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม ตารางเวลาในอนาคตก็ยังร่นเลื่อนลงไปเรื่อยๆ การโต้เถียงด้วยความกังขานั้น ก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการร่างและการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยังไม่แน่ใจว่า จะมีการทำประชามติกันหรือไม่ แต่เมื่อมองเห็นความจงเกลียดจงชังที่ทางฝ่ายรัฐบาลทหารและฝ่ายอำมาตย์ชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ แล้ว มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ว่า ถ้าหากการทำประชามติเกิดผ่านขึ้นมา (ซึ่งตัวบทของมันนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อขัดขวางต่อต้าน (Thwart) การอ้างถึงการกลับมาของระบอบประชาธิปไตย) แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและของสื่อแล้ว สิทธิเหล่านี้ก็ยังคงเหี่ยวแห้งลงไปเรื่อยๆ ทางองค์กรสิทธิมนุษยชน (Human Rights Watch) เองก็กล่าวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า สิทธิ์ของประชาชนอยู่ในสภาวะ “ดิ่งเหว” (Free fall) อยู่ในเวลานี้...
**********************
Doungchampa Spencer-Isenberg 





วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ท้วงติงการเผยแพร่ "ฝิ่นของปัญญาชน" โดยสมศักดิ์ เจียม (สศจ.)


ศิวา  มหายุทธ์
1 มิถุนายน 2558



ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (จากนี้จะขอเรียกว่า สมศักดิ์ เจียม) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2558 ผู้ซึ่งลี้ภัยเผด็จการในต่างประเทศ ที่วิพากษ์คำให้สัมภาษณ์ทักษิณ ชินวัตร มีสาระหลักที่สำคัญ 2 ข้อคือ

          - ข้อกล่าวหาว่า การรัฐประหารหลายครั้งใน 8 ปีนี้ เกิดเพราะฝ่ายอำมาตย์มุ่งจะล้มรัฐบาลของทักษิณและยิ่งลักษณ์ มีลักษณะคับแคบมองเห็นแต่ความผิดของผู้อื่น ไม่มองความผิดพลาดของตนในปัญหา "จังหวะก้าว" ของฝ่ายทักษิณ-รัฐบาลยิ่งลักษณ์เอง 

          - คนเสื้อแดงไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองใช้อาวุธ ทำให้รัฐบาลที่ตนเองสนับสนุนคุมสถานการณ์ไม่ได้ เป็นข้ออ้างยึดอำนาจของกองทัพและทำให้ คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แม้แต่ กปปส. ไม่ได้ผิดถึงต้องให้ตายขนาดนั้น 

คำวิพากษ์ในข้อแรกของสมศักดิ์ เจียมเป็นประเด็นถกเถึยงกันได้ไม่รู้จบ ยากจะหาข้อสรุปได้ จึงไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผู้เขียนจะต้องลุกขึ้นมาวิวาทะ แต่คำวิพากษ์ในข้อหลัง ผู้เขียนอ่านทบทวนหลายรอบ ทั้งโดยสาระและอรรถะของเนื้อหาแล้ว ต้องขอท้วงติงในฐานะ"มิตรร่วมรบ" อย่างจริงจังก่อนที่จะปล่อยให้ผ่านไปจนเกิดความเข้าใจผิดว่าทัศนคติที่สมศักดิ์ เจียมแสดงนั้นเป็นสัจธรรมทั่วไป แล้วแพร่กระจายไปเสมือนหนึ่งยาฝิ่นของการต่อสู้กับพลังอำนาจรัฐเผด็จการอำมาตย์

ทัศนคติของสมศักดิ์ เจียมต่อการต่อสู้ในสงครามระหว่างพลังประชาธิปไตยและเผด็จการเห็นได้ชัดว่ามีลักษณะประเมิน และ ดูเบาต่อสถานการณ์กับเจตนาของกลุ่มพลังเผด็จการอำมาตย์ต่ำเกินไป จนเกิดเป็นท่าทีแบบเหนือจริงแบบตัวละครในบทละครเสียดสีของ แฟร์นันโด อาราบัล เรื่อง ปิคนิคกลางสนามรบ (Picnic on the Battlefield) ซึ่งเป็นทัศนคติที่หลู่ซิ่น เคยวิพากษ์ปัญญาชนในอดีตของจีนที่ว่า "นักปฏิวัติในซาลอน" มาแล้ว

               สมศักดิ์ เจียม ระบุว่า "...ความผิดพลาดที่สำคัญอีกอย่างที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เคยยอมเผชิญกับความจริง คือ เรื่องการใช้อาวุธในหมู่กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งตลอดช่วงการชุมนุมของ กปปส. เมื่อทุกฝ่ายพร้อมจะเผชิญความจริง อีกฝ่ายพร้อมจะยอมรับให้จัดการความผิดของการรัฐประหารยึดอำนาจจึงจะสามารถนำมาอภิปรายกันเต็มที่ได้ อยากจะเสนอให้คิดแบบสามัญสำนึกง่ายๆ ว่าการใช้อาวุธในขณะมีรัฐบาลที่กลุ่มคนเสื้อแดงเชียร์อยู่ในอำนาจมีแต่ทำให้รัฐบาลเสีย พวกตัวเองเป็นรัฐบาล ใช้อาวุธ คนที่แย่คือรัฐบาลที่คุมสถานการณ์ไม่ได้ มีคนเจ็บคนตายอยู่ตลอดเวลา และเป็นข้ออ้างอย่างดีให้ทหารเข้ายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเอามาอ้างจนทุกวันนี้ ขนาดยังไม่ได้พูดเชิงหลักการที่ว่า คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือแม่แต่เป็นคนที่เป็นมวลชน กปปส.จริง ไม่ได้มีอะไรที่ผิดที่ถึงกับต้องมาตายกันแบบนั้น" และว่า"ผมตระหนักดีเรื่องที่ว่ามีเสื้อแดงเอง เช่น ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือตำรวจบางคนเสียชีวิต โดนทำร้าย แต่วิธีจัดการเรื่องนี้ไม่ใช่ด้วยวิธีแบบนี้ และความจริงคือ ผลของความรุนแรงส่วนใหญ่ และเหยื่อส่วนใหญ่ตลอดวิกฤตนั้น คือ กปปส. พูดอีกอย่างคือ ฝ่ายเสื้อแดงที่ติดอาวุธเป็นฝ่ายลงมือใช้วิธีนี้มากกว่า และใช้อย่างชนิดมั่วซั่วไปหมดมากกว่า...” 

สรุปประเด็นสาระที่สมศักดิ์ เจียมนำเสนอคือ
1) พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เคยยอมเผชิญกับความจริงเรื่องการใช้อาวุธในหมู่คนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง

2) การใช้อาวุธของกลุ่มคนดังกล่าว บั่นทอนความชอบธรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถูกมองว่าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มเผด็จการอำมาตย์ใช้เป็นข้ออ้างเปิดทางให้กองทัพทำรัฐประหาร

3) ฝ่ายเสื้อแดงที่ติดอาวุธเป็นฝ่ายลงมือใช้อาวุธมากกว่ากปปส. และใช้อย่างชนิดมั่วซั่วไปหมดมากกว่า 

4)  ในเชิงหลักการแล้ว การใช้อาวุธของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือแม่แต่เป็นคนที่เป็นมวลชน กปปส.จริง ไม่ได้มีอะไรที่ผิดที่ถึงกับต้องมาตายกันแบบนั้น

ทัศนคติของสมศักดิ์เจียมที่แจกแจงมา 4 ประเด็นข้างต้น ผู้เขียนขอท้วงติงดังต่อไปนี้

          ข้อแรกสุด ในทางยุทธศาสตร์การต่อสู้ในทางการเมืองแบบมวลชนร่วมสมัย เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าประกอบด้วยหลายพื้นที่ (รัฐสภา บนท้องถนน พื้นที่สื่อ ต่างประเทศ และกองกำลัง) และผู้ที่แสดงแต่ละพื้นที่ย่อมมีภารกิจและบทบาทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสมศักดิ์ เจียม เอ่ยถึงในหลายครั้งในข้อเขียนของเขาอย่างไม่ลงลึกในรายละเอียด ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่า นิยามของสมศักดิ์ เจียมนั้น มีความหมายอย่างไรกันแน่ และตรงความเข้าใจทั่วไปมากน้อยเพียงใด

          กองกำลังจัดตั้งที่มีอาวุธของคนเสื้อแดงบางกลุ่มได้เกิดขึ้นและดำรงอยู่จริง และถือเป็นหนึ่งในพื้นที่การต่อสู้ที่จำเป็น ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (แม้จะไม่ถึงขั้นกับคำพูดเหมาเจ๋อตงที่เคยบอกว่า การปฏิวัติไม่ใช่งานเลี้ยงมื้อค่ำ") แต่วัตถุประสงค์ของกองกำลังดังกล่าวมีขีดจำกัดอย่างมากเพราะคนที่จัดตั้งขึ้นมานั้นตระหนักดีว่า การใช้อาวุธซึ่งถือเป็นปฎิบัติการทางทหารอย่างหนึ่งนั้นจะต้องมีลักษณะ การทหารเพื่อรับใช้การเมืองหรือ"การเมืองนำการทหาร"เสมอ

ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พรรคเพื่อไทยที่ต่อสู้ในเวทีรัฐสภาและแกนนำ นปช. ที่ต่อสู้บนท้องถนนออกมายอมรับโดยเปิดเผยว่ามีการเคลื่อนไหวของกองกำลังติดอาวุธ ข้อเสนอของสมศักดิ์ เจียม ที่ให้พวกเขายอมรับจึงเป็นข้อเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

ข้อที่สอง  การใช้อาวุธของกลุ่มคนดังกล่าว บั่นทอนความชอบธรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถูกมองว่าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และสร้างความชอบธรรมให้กลุ่มเผด็จการอำมาตย์ใช้เป็นข้ออ้างเปิดทางให้กองทัพทำรัฐประหาร เป็นการกล่าวโทษเกินจริง และวิพากษ์ขบวนแถวที่ร่วมการต่อสู้อย่างไม่ฉันมิตร(แม้จะไม่ถึงขั้นฉันปรปักษ์) 

          ข้อเท็จจริงที่สมศักดิ์ เจียม เองก็กล่าวถึงอย่างหยาบๆว่า  "...ก็มีส่วนจริง ในแง่ที่ว่า มีกำลังอำนาจของบุคคลและกลุ่มที่แวดล้อมสถาบันกษัตริย์ ไม่ชอบทักษิณ และคงอยากเห็นทักษิณ-ยิ่งลักษณ์แพ้เลือกตั้ง หรือถ้าชนะ ก็อยากเห็นล้มเหลว หรือหลุดจากตำแหน่ง..." แต่เขากลับมองว่า"...ไม่ได้แปลว่า จู่ๆ เขาจะล้มได้ นอกจากว่า พวกนั้นไม่ใช่เทวดาที่จะเสกให้อะไรเกิดขึ้นตามใจชอบ (และประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของ "พรหมลิขิต" ที่กำหนดไว้ตายตัว) การเมืองสมัยใหม่ มันเป็นเรื่องระดับมวลชน เรื่องระดับ "สาธารณะ" เอาชนะกันในเรื่อง "public opinion" (ความเห็นสาธารณะ) ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องแค่คนไม่กี่คน "วางแผน" กันแล้วก็เกิดขึ้นได้..." แล้วยังเสริมอีกว่า"...ตลอด 2 ปีกว่าของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ม็อบโน้นม็อบนี้พยายามก่อหวอดไม่รู้กี่ครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีน้ำยาอะไร แม้แต่ม็อบ กปปส. และการรัฐประหาร 22 พ.ค.เองก็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าจึงถึงจุดที่ทหารรู้สึกว่าสามารถตัดสินใจยึดอำนาจได้...."

สมศักดิ์ เจียม เอ่ยข้อความที่ปฏิเสธข้อเท็จจริงว่านับตั้งแต่แรกเริ่มของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขึ้นสู่อำนาจอย่างพลิกความคาดหมายของกลุ่มเผด็จการอำมาตย์เมื่อกลางปี 2554 เป็นต้นมาขบวนการทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างเป็นรูปธรรมได้เกิดขึ้นไม่เคยขาดสายนับแต่ กรณีน้ำท่วมใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ จนถึงการเคลื่อนไหวขององค์กรอิสระ ขบวนการมวลชนบนท้องถนนการเคลื่อนไหวในรัฐสภาของ สว.ลากตั้ง กลุ่มเอ็นจีโอนิยมเผด็จการ นักวิชาการในมหาวิทยาลัย กลุ่มแพทย์ เทคโนแครตในราชการ กลุ่มตุลาการ สื่อมวลชนกระแสหลักนิยมทหาร และฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้โหมกระแสทำพลายความชอบธรรม จากเชิงปริมาณสู่คุณภาพต่อเนื่อง แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็จุดประกายให้เกิดขบวนแถวที่เป็นเอกภาพในการทำลายล้างเข้มข้น หลังเกิด"ฟางเส้นสุดท้าย"ในกรณีร่างกฎหมายนิรโทษกรรม

การละเลยที่จะพูดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวรวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าในขบวนแถวจัดตั้งของกปปส. ที่นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณนั้น ไม่ได้มีเฉพาะมวลชนจัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ชนชั้นกลาง หรือ กลุ่มพันธมิตรฯจำลอง-สนธิ แต่ยังมีกองกำลังทหารในกองทัพบกและกองทัพเรือจำนวนหนึ่งเข้ามีส่วนในขบวนแถวจริงจัง เป็นกองกำลังใช้ความรุนแรงในฐานะหัวหอกทะลวงฟัน พร้อมด้วยการสนับสนุนทางการเงินเบื้องหลังจากตัวแทนของกลุ่มทุนใหญ่ และสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจจะมากกว่าที่ถูกเปิดเผยออกมาว่ามีวงเงินหลายร้อยล้านบาท   รวมทั้งแรงสนับสนุนความชอบธรรมจากบางบุคคลในราชสำนักเองโดยเปิดเผย

ถ้าสมศักดิ์ เจียมเห็นว่า การเคลื่อนตัวของกลุ่มกองกำลังเสื้อแดง ทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วปฏิบัติการในลักษณะสร้างกระแสทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลของมวลชนและกองกำลังจัดตั้งในนาม กปปส. ที่ได้รับการประสานสอดคล้องเป็นคลื่นถาโถม จากบรรดาคณะตุลาการ กองทัพ และ องค์กรอิสระ ในการยึดสถานที่ราชการทั่วประเทศ คุกคามทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ ขัดขวางและรุมกระทืบประชาชนที่จะไปเลือกตั้ง ใช้อาวุธปืนทั้งเบาและหนักอย่างบ้าคลั่งหลายเดือนต่อเนื่อง จนกระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีสภาพ"เป็ดง่อย"จนถึงเวลาสุกงอมให้ทหารยึดอำนาจ เป็นเพียงความเคลื่อนไหวที่ว่างเปล่าตาม"พรหมลิขิต" ไม่เพียงพอที่จะเปิดทางให้กองทัพอ้างเหตุทำรัฐประหารอย่างนั้นหรือ

นักประวัติศาสตร์ที่เลือกหยิบข้อมูลไม่รอบด้าน มาสนับสนุนทัศนคติจำเพาะของตนเอง จะเป็นนักประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือได้อย่างไร เป็นโจทย์ที่สมศักดิ์ เจียม ต้องถามกลับตัวเองบ้างแล้ว หลังจากตั้งคำถามคนอื่นๆมามากมาย

ข้อที่สาม สมศักดิ์ เจียม ระบุว่า ฝ่ายเสื้อแดงที่ติดอาวุธเป็นฝ่ายลงมือใช้อาวุธมากกว่ากปปส. และใช้อย่างชนิดมั่วซั่วไปหมดมากกว่า  
  
คำวิพากษ์ดังกล่าวสมศักดิ์ดูจะก้าวไปไกลถึงขั้นยกตนเองจากนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เป็นผู้ช่ำชองปฏิบัติการทางทหารไปเลยถึงขั้นกล้าระบุ โดยไม่มีสถิติเชิงปริมาณประกอบว่ากองกำลังติดอาวุธฝั่งเสื้อแดงปฏิบัติการมากกว่ากลุ่ม กปปส. และที่ถึงขั้นสุดขั้วคือกล่าวหาว่า"ใช้อย่างชนิดมั่วซั่ว"     
โดยข้อเท็จจริง ผู้เขียนขอยืนยันว่า ปฏิบัติการใช้อาวุธของกองกำลังคนเสื้อแดงต่อ กปปส. มีวัตถุประสงค์ในด้านจิตวิทยาต่อการชุมนุมและกระทำผิดกฎหมายมากกว่ามุ่งไปที่การทำลายล้างชีวิต และทรัพย์สิน ดังนั้น การเลือกเป้าหมายจึงไม่ได้กระทำอย่าง" มั่วซั่ว" แน่นอน แต่ในปฏิบัติการแต่ละครั้ง(ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งมีกองกำลังจัดตั้งทางทหารร่วมวงอย่างเข้มแข็ง) ไม่มีการคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าได้ และอาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเป็นปกติของปฏิบัติการ

น่าเสียดายที่สมศักดิ์ เจียมไม่ได้ระบุว่าปฏิบัติการที่"ไม่มั่วซั่ว"ต้องทำอย่างไร กำกับไว้ด้วย
          สุดท้าย  ทัศนคติของสมศักดิ์เจียมที่ว่า "...ในเชิงหลักการแล้ว การใช้อาวุธของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือแม่แต่เป็นคนที่เป็นมวลชน กปปส.จริง ไม่ได้มีอะไรที่ผิดที่ถึงกับต้องมาตายกันแบบนั้น.." ช่างละม้ายคล้ายกับข้อเสนอหลังเหตุการณ์พฤษภาคมทมิฬ 2535  อันลือลั่นของตัวเขาเองที่ว่า " เป็นฝ่ายแพ้ ดีกว่าพาคนไปตาย" ที่เรียกเสียงวิจารณ์ได้อึงมี่มาแล้ว

          ทัศนคติเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ดอสตอยเยฟสกี้ เคยเอ่ยถึงในหนังสือต่อต้านการปฏิวัติของเขาเรื่อง The Devils  เมื่อกว่าร้อยปีก่อน และอัลแบร์ กามูส์ในละครเรื่อง Les Justes หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เสนอแนวคิดหลักว่า เมื่อใดก็ตามที่คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตายในการต่อสู้ ถือว่านั่นเป็น "ความรุนแรงที่อยุติธรรม" ซึ่งเป็นอุดมคติด้านมนุษยธรรมสุดขั้ว ที่ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ โดยเฉพาะในขบวนแถวต่อสู้ทางการเมืองที่เป็นรูปธรรม

สมศักดิ์ เจียม อาจจะมีอุดมคติด้านมนุษยธรรมด้านหนึ่ง นอกเหนือจากด้านของการรักความเป็นธรรมและเสรีภาพอีกด้านหนึ่ง   เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในฐานะมนุษย์ปุถุชน แต่ในขบวนแถวการต่อสู้ การนำเสนอที่สุดขั้วเช่นนี้ นอกจากไม่สร้างสรรค์แล้วยังเปิดช่องให้ฝ่ายตรงกันข้ามนำไปแอบอ้างใช้ประโยชน์ในการทำลายความชอบธรรมของผู้ปฏิบัติงานในกองกำลังจัดตั้งขึ้นด้วย

ผู้เขียนขอย้ำว่า กลุ่มผู้ที่ปฏิบัติการในกองกำลังติดอาวุธจัดตั้งของคนเสื้อแดงนั้น  ไม่ได้มีจิตใจกระหายเลือดต้องการใช้ความรุนแรงในการต่อสู้อย่างทำลายล้าง แต่ประสบการณ์จากการต่อสู้กับพลังอำนาจรัฐเผด็จการที่ใช้ความรุนแรงเป็นสรณะ ผสมกับได้เผชิญความเจ้าเล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบของเผด็จการอำมาตย์มายาวนาน ทำให้การตัดสินใจเข้าร่วมในกองกำลังติดอาวุธเพื่อสร้างประชาธิปไตย เป็นทางเลือกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้เห็นด้วยหรือไม่

ที่สำคัญสมศักดิ์ เจียมไม่ได้ใช้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงอะไร มายืนยันในขัอสรุปของเขาที่ว่า"คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่"นั้นมีจริงหรือไม่และมากน้อยแค่ไหน และต่างจาก"มวลชนของกปปส."อย่างไร เพราะโดยข้อเท็จจริงของปฏิบัติการนั้นเป็นที่รู้กันว่า แกนนำของกปปส. ได้ใช้กลยุทธ์"โล่มนุษย์" แบบเดียวกันที่จำลองศรีเมืองใช้มาโดยตลอด โดยมีมวลชนจำนวนหนึ่งที่ถูกจัดตั้งมาพร้อมใจรับภารกิจดังกล่าว ดังนั้นอาจจะมีปรากฏการณ์"ลูกหลง"ในระหว่างปฏิบัติการเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติที่มักจะถูกนำไปขยายเกินจริงตามแนวทางปฏิบัติการจิตวิทยา ซึ่งสมศักดิ์ เจียมควรตระหนักเป็นอย่างดี หากไม่แสร้งไร้เดียงสาเกินสมควร

          แล้ว สมศักดิ์ เจียม ก็คงจะไม่ถึงขั้นไร้เดียงสา จนกระทั่งลืมข้อเท็จจริงที่สำคัญในชีวิตที่ผ่านมาไม่นานของเขาเองว่า หากปราศจากผู้ปฏิบัติงานนิรนามบางส่วนของกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธของคนเสื้อแดงกลุ่มที่เขาวิพากษ์ ซึ่งถือหลักการเฉพาะหน้า" ช่วยพาพ้นภัยเผด็จการ อย่างไร้เงื่อนไข" ตัวสมศักดิ์ เจียมเองจะไม่สามารถหลบหนีรอด ไปมีชีวิตเพื่อใช้เสรีภาพทางความคิด เขียนเสนอแนะทัศนคติและบทวิพากษ์ในต่างประเทศ อย่างทุกวันนี้ได้เลย

ข้อท้วงติงสุดท้ายที่ผู้เขียนอยากเสนอแนะต่อสมศักดิ์ เจียม ซึ่งผู้เขียนยังถือเสมือนเป็น"มิตรร่วมรบ"ต่อไป ไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นว่า แม้สมศักดิ์ เจียม จะพยายามจำกัดตัวเองเพื่อรักษาภาพลักษณ์ส่วนตัวในฐานะนักประวัติศาสตร์อิสระที่มีจิตใจรักประชาธิปไตย ไม่ปรารถนาที่จะประทับตราว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนแถวจัดตั้งเต็มตัว แต่สถานการณ์ที่ชักพาไปให้ทางเลือกหดแคบลง การรักษาท่าทีของ"แนวร่วม"ต่อขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยให้นำพาสังคมปลอดพ้นจากพลังของเผด็จการอำมาตย์นั้นจำต้องกำหนดท่าทีในการวิพากษ์เสียใหม่ว่าเรื่องใดควรวิพากษ์แบบ"วงใน"อย่างฉันมิตร เรื่องใดควรนำเสนอต่อสาธารณะเป็นการทั่วไปอย่างเป็นกลาง

การนำเสนอคำวิพากษ์แบบโดยไม่แยกแยะ พร่ำเพรื่อ หรือผิดกาละเทศะ ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดหลักการร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ต่อขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น แต่อาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มเผด็จการอำมาตย์ได้ไม่ยาก  เพราะการต่อสู้ของขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยังคงต้องมีเส้นทางอีกยาวไกล และคดเคี้ยวยิ่ง ไม่สามารถปล่อยให้เกิดภาวะ "ปิคนิคกลางสนามรบ"และเผยแพร่"ฝิ่นของปัญญาชน" ได้โดยปราศจากเงื่อนไข


วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รวยที่สุดในโลก อีกปีแล้ว!!..!กษัตริย์ภูมิพล ยังครองแชมป์กษัตริย์รวยที่สุดในโลก


เมื่อสื่อนอก Time (1 มิถุนา 2558) ตีพิมพ์อันดับกษัตริย์รวยอู้ฟู่ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1 ล้านล้านบาท)



ภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ของไทย ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ร่ำรวยมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินโดยประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 ตามข้อมูลของนิตยสารฟอร์บส์

ทรัพย์สมบัติของกษัตริย์ภูมิพล บริหารโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ ซึ่งรวมที่ดิน 3,000 เอเคอร์ (8,000 ไร่) ในใจกลางกรุงเทพฯ และหุ้นส่วนในบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์
ภูมิพลยังครอบครองเพชร 545 กะรัต ซึ่งเป็นเพชรกาญจนาภิเษก เจียระไนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ (400 ล้านบาท)

http://time.com/3904003/richest-royals/

เมื่อไหร่ ปปช.จะไปตรวจสอบทรัพย์สินของภูมิพลบ้าง มัวไล่บี้อยู่กับคดีเล็กๆ อยู่ทำไม!!

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ข่าวพระอาการในหลวงเดินทางเข้ากรุงเทพสับสนจากมุมมองสื่อต่างประเทศ



แอนดรู แมคเกรเกอร์ มาร์แชล อดีตผู้สื่อข่าวจากรอยเตอร์เปิดข่าวสวนกระแสสื่อไทยว่ากษัตริย์ไทยเดินทางกลับกรุงเทพอย่างกระทันหันโดยเฮลิคอปเตอร์

คำแปล:
กษัตริย์ภูมิพลอาการล่าสุด

คนไทยถูกหลอกลวงเกี่ยวกับสุขภาพของกษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดช จากการรายงานข่าวของสำนักพระราชวังว่ากษัตริย์ภูมิพลและราชินีศิริกิตต์ออกจากหัวหินไปศิริราชเพื่อ"ตรวจร่างกายตามปกติ"และพบว่าสุขภาพ"เป็นปกติ"


แต่ความจริงกษัตริย์ภูมิพลไปกรุงเทพอย่างกระทันหันเมื่อวานนี้ทางเฮลิคอปเตอร์ด้วยสุขภาพที่อาการทรุดหนัก. นี้คือเหตุผลว่าทำไมไม่มีใครเห็นว่าท่านตรงไปที่ศิริราช.โดยคณะแพทย์พยายามช่วยให้รอดชีวิต,เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงมีความหวาดวิตกว่ากษัตริย์อาจจะสิ้นชีวิตแต่ข้อมูลเหล่านี้สื่อไทยไม่ได้รายงาน

(ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศ Asia Sentinel ที่ฮ่องกงก็ยืนยันข้อมูลการเดินทางกลับไปศิริราชทางเฮลิคอปเตอร์จริง)

Andrew MacGregor Marshall

KING BHUMIBOL HEALTH UPDATE — As usual, Thais are being lied to about the health of King Bhumibol Adulyadej. The Royal Household Bureau claims Bhumibol and Sirikit "returned" from Hua Hin so the king could have a "routine check" which found his health to be "normal". 

In fact, Bhumibol was rushed to Bangkok yesterday by helicopter due to an extremely severe health crisis. This is why he was not seen arriving at Siriraj. Doctors are struggling to keep him alive. There is intense anxiety among elite royalist families that Bhumibol may be on his deathbed.

But of course, none of this is being reported in the Thai media.