10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่6:งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก
งบประมาณแผ่นดินเก็บจากภาษีประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมปัจจุบันมี2,000,000ล้านบาทเศษ (ส่วนใหญ่เก็บภาษีไม่ได้เท่าจำนวนงบประมาณที่ตั้งเราเรียกว่าเป็นงบประมาณขาดดุลส่วนที่ขาดจะต้องกู้มาเพิ่ม) โดยแบ่งเป็นเป็นค่าใช้จ่ายงบเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการและลูกจ้างสูงมากที่สุดกว่า50% (หลักการจัดงบประมาณถือว่าไม่ถูกต้องแต่ระบบราชการไทยเป็นของกษัตริย์มีอำนาจเหนือรัฐบาลโดยเฉพาะข้าราชการทหารดังนั้นรัฐบาลใหนก็ไม่กล้าไปลดขนาดจำนวนข้าราชการและปรับปรุงประสิทธิภาพให้คุ้มกับเงินเดือนเพราะจะเกิดการต่อต้านแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารดังเช่นรัฐบาลทักษิณ),งบชำระหนี้เงินกู้ประมาณ25% ที่เป็นงบของกษัตริย์ประมาณ10% (ประมาณ200,000ล้านบาทเศษ)ที่เหลือ15%ทำทานให้ประชาชนกินด้วยเหตุนี้วังจึงต่อต้านนโยบายรัฐสวัสดิการหรือนโยบายประชานิยมรวมถึงนโยบายจำนำข้าวของทักษิณแต่เน้นให้ส่งเสริมเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงก็เพื่อจะได้ไม่ให้กระทบกับห่อเงินงบประมาณของวังในแต่ละปีโดยไม่สนใจว่าคนยากจนจะทุกข์ยากลำบากไม่มีโอกาสในการที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตและประเทศชาติจะล้าหลังการพัฒนา
ค่าใช้จ่ายในราชสำนักทั้งหมดเริ่มตั้งแต่เงินเดือนของกษัตริย์พระราชินี,พระบรมวงศานุวงศ์และเงินเดือนข้าราชการที่รับใช้ในวังทั้งหมดรวมทั้งที่ใช้เลี้ยงหมา,ค่าไฟฟ้าน้ำประปาและค่าใช้จ่ายในการแปรพระราชฐานรวมทั้งค่าใช้จ่ายงานศพของคนในพระราชวงศ์ล้วนใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนและเป็นงบที่สมาชิกรัฐสภาห้ามอภิปรายและปปช.ห้ามตรวจสอบ,ปัญญาชนคนใหนที่บอกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายของกษัตริย์ถูกกว่าและโปร่งใสกว่างบค่าใช้จ่ายของประธานาธิบดีก็มาดูรายละเอียดกัน
1.งบประมาณของสำนักพระราชวังโดยตรง6,000ล้านบาทเศษ(โดยไม่รวมงบแฝง)
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของราชสำนักที่เป็นเงินเดือนของกษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์และขี้ข้าในวังทั้งหมดที่ทุกรัฐบาลต้องจัดตั้งให้ที่ปรากฎในพระราชบัญัญัติงบประมาณประจำปีในหมวดสำนักพระราชวังอยู่ที่6,000กว่าล้านบาท(ในที่นี้ขอเสนอตัวเลขกลมๆรายละเอียดของเศษหาดูได้ในตัวร่างพ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน)ซึ่งเท่ากับงบประมาณของกระทรวงขนาดกลางเช่นพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมโดยสำนักงานพระราชวังนำไปบริหารเอง(แต่ความเป็นจริงงบค่าน้ำค่าไฟที่ตั้งไว้ก็ไม่จ่ายให้แก่หน่วยงานการไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวงโดยติดหนี้ไว้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจก็ไม่กล้าทวง,ซึ่งไม่รวมถึงค่าไฟฟ้าที่ฟระดับประดาอยู่รอบวังและที่ใช้ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา)
2.งบประมาณส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์20,000ล้านบาทเศษ
เป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ในทุกกระทรวงทบวงกรมโดยปรากฎในพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินในชื่อเดียวกันคือ"ส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์"รวมทุกกระทรวงแล้วประมาณ20,000ล้านบาทเศษ,งบส่วนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของราชสำนักเป็น2ส่วนดังนี้
2.1ตามโครงการประจำปีที่กำหนดไว้
ในแต่ละกระทรวงทุกหน่วยงานจะกำหนดงานส่วนนี้ไว้โดยถือเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกกระทรวงทบวงกรมต้องทำ(คล้ายกับงบประมาณต่อต้านโรคเอดส์ในอดีตที่ทุกหน่วยงานต้องตั้งไว้)เช่นป้ายและซุ้มโฆษณากษัตริย์และครอบครัวทั้งหมดทุกพระองค์ที่กระทรวงสาธารณสุข,กระทรวงมหาดไทย(เช่นกรมการปกครอง,กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น,เทศบาล,อบต.,อบจ.),กระทรวงคมนาคม(โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท)รวมถึงเงินที่ใช้เป็นค่ารถค่าอาหารและเบี้ยเลี้ยงประชาชนที่มหาดไทยสั่งให้นำคนเข้าไปกรุงเทพเพื่อร่วมในงานเฉลิมพระชนม์พรรษาของกษัตริย์หรือราชินี
2.2ตามพระราชประสงค์แล้วแต่พระราชดำริ
หากพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์นึกอยากจะทำอะไรขึ้นมาในเวลานั้นๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายตัวอย่างที่เป็นจริงเช่นเมื่อคืนราชินีเกิดทรงพระสุบิน(ฝัน)ถึงบูรพมหากษัตริย์ในรัชสมัยอยุธยาเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรับสั่งว่าอยากจะเสด็จไปบูชาบูรพมหากษัตริย์ที่ทุ่งมะขามหย่องจังหวัดอยุธยาก็จะต้องมีการจัดงานรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ์ด้วยเงินภาษีอากรของประชาชนโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแม่งานจัดจ้างบริษัทเอกชนฟาร์มช้างอยุธยานำช้างมาทาสีเป็นช้างเผือกและบริษัทจัดงานจ้างนักร้องที่พระองค์ทรงโปรดมาขับกล่อมและจ่ายเงินให้กำนันผู้ใหญ่บ้านนำลูกบ้านมาต้อนรับเป็นต้น
งบประมาณในส่วนนี้กระทรวงกลาโหมจะเป็นเจ้าภาพใหญ่โดยตั้งงบประมาณลอยไว้ทั้งในสำนักงานปลัดกระทรวง,กองทัพบก,กองทัพเรือ,กองทัพอากาศรวมถึงหน่วยงานเสณาธิการในทุกกองทัพแม้แต่ในภาวะที่กษัตริย์และราชินีป่วยนอนอยู่ในห้องไอซียูโรงพยาบาลศิริราชงบประมาณส่วนนี้ก็ไม่ลดลงและเมื่อสิ้นปีเงินส่วนนี้เหลือก็จัดแปลงโครงการตามใจชอบของหัวหน้าส่วนราชการเช่นพาข้ารชการแต่ละส่วนงานไปเที่ยวต่างประเทศภายใต้ชื่อว่าเป็นการดูงานต่างๆหรือนำไปใช้อะไรก็ได้โดยมักจะมีคำว่า"เฉลิมพระเกียรติ์"เข้าไปด้วย
3.งบประมาณส่งเสริมแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง100,000ล้านบาทเศษ
กำหนดเป็นแผนประจำปีในส่วนงานที่เกียวข้องโดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเกษตร,กระทรวงกลาโหมซึ่งถือเป็นงบโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่งเพื่อสร้างภาพว่ากษัตริย์มีความห่วงใยต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งๆเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นโครงการที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเพราะดำเนินการมานานกว่า20ปีแล้วแต่ประชาชนไม่เอาด้วยเริ่มตั้งแต่เอาเงินไปให้เปล่าแก่กำนันผู้ใหญ่บ้านทำสวนเกษตรเป็นต้นแบบรายละ50,000บาทและให้เงินเป็นเงินกู้แก่ประชาชนไปขุดบ่อน้ำเลี้ยงสัตว์แต่ก็ล้มเหลวเพราะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงในสังคมบริโภคสมัยใหม่ที่ประชาชนและพระราชวงศ์ก็ต่างต้องการชีวิตที่สะดวกสะบายด้วยเครื่องไฟฟ้าและห้องแอร์คอนดิชั่นและโทรศัพท์มือถือและการซื้อสินค้าจากตลาดแต่ปรากฎว่าในปีนี้รัฐบาลคสช.พลเอกประยุทธ์ก็สั่งการไปยังสำนักงบประมาณและเจ้ากระทรวงสำคัญที่ล้วนแล้วแต่ทหารนั่งเป็นรัฐมนตรีให้เน้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อเอาใจกษัตริย์และเพื่อแสดงต่อประชาชนว่าเป็นรัฐบาลของกษัตริย์เพราะคำว่า"เศรษฐกิจพอเพียง"เป็นแบรนด์สำคัญของกษัตริย์ภูมิพลไปแล้วโดยเพิ่มงบเป็นพิเศษเกือบ200,000ล้านบาท(ถ้าโครงการเศรษฐกิจพอเพียงดีจริงทำมานานกว่า20ปีแล้วทำไมต้องเพิ่มงบขึ้นเรื่อยๆ?และทำไมต้องประกาศหาผู้กล้าเหมือนจะต้องเสี่ยงไปออกรบ?)เช่นโครงการ"คนกล้าคืนถิ่น"ที่ประกาศรับสมัคร14กพ.ถึง9มีค.58โดยจะจัดที่ดินให้ผู้สมัครรายละ2-3ไร่และให้เงินทุนจำนวนหนึ่งไปทำบ่อเลี้ยงปลาปลูกข้าวและผักสวนครัวกินเองโดยไม่ต้องไปตลาดซึ่งก็เชื่อได้ว่าผลลัพธ์ก็จะล้มเหลวเหมือนที่เป็นมา,ขอบอกล่วงหน้าว่าเราจะเห็นความสำเร็จเพียงแค่การจัดงานโชว์เริ่มต้นโครงการโดยมีประชาชนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนายอำเภอเกณฑ์มาแสดงลครต้อนรับให้นายกฯถ่ายรูปในวันเปิดโครงการเท่านั้น
4.งบประมาณส่งเสริม"โครงการพระราชดำริ"2,000กว่าโครงการปีละ100,000ล้านบาทเศษ
เป็นงบโฆษณาชวนเชื่อของเจ้าอีกรูปแบบหนึ่งที่บอกกับสังคมว่ากษัตริย์มีความคิดดีแต่เนื้อแท้เป็นช่องทางทำมาหากินของพระบรมวงศานุวงศ์และราชนิกูลที่ทำโครงการแต่ใช้ชื่อกษัตริย์มาแป๊ะและหาอยู่หากินกันระยะยาวเลี้ยงตัวเองและบริวารแต่ใช้เงินภาษีประชาชนตั้งแต่ทำอ่างเก็บน้ำบ้านพักและพระราชวังเพื่อกษัตริย์และลูกหลานจะแปรพระราชฐาน(ไปเที่ยว)ไปดูงานแก้เหงาเช่นกิจการปลูกผักดอกไม้,ผลไม้เมืองหนาวบนภูเขา,แปรรูปผลผลิตทำข้าวเกรียบหัวผักกาดขาย,งบประมาณนี้ส่วนใหญ่ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์,กระทรวงเกษตรและกระทรวงอุตสาหกรรมโดยมีหัวหน้าโครงการที่ส่วนใหญ่เป็นพวกเชื้อพระวงศ์โดยมีเงินเดือนกิน และหลายโครงการเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่ใช้เงินภาษีไปสนับสนุนแต่เมื่อทำมาค้าขายได้กลับเป็นรายได้ส่วนตัวเช่นโครงการศิลปาชีพ,โครงการดอยคำ,โครงการภูฟ้าเป็นต้นซึ่งเราจะเห็นร้านค้าและสินค้าต่างๆวางขายโดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ,สนามบินดอนเมืองและในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานบางส่วนด้วยเหตุผลและข้ออ้างที่หลอกลวงประชาชนว่าเป็นการทำเพื่อประชาชนในพื้นที่ที่ราบสูงและเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ(ถ้าราชสำนักมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงก็ควรจะเลี้ยงตัวเองได้แล้วเพราะใช้งบสนับสนุนมานานแล้วแต่ทุกวันนี้ยังต้องตั้งงบประมาณสนับสนุนทุกปี)
5.งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ในกระทรวงต่างๆโดยไม่ระบุจำนวนและไม่ระบุโครงการ
งบประมาณส่วนนี้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงและอธิบดีที่จะต้องจัดสรรเจียดเงินจากงบประมาณปกติที่จะต้องบริการประชาชนไปสนับสนุนเช่นการซ่อมแซมพระราชวังในจังหวัดต่างๆหรือปรับปรุงเส้นทางและค่าเบี้ยงเลี้ยงเจ้าหน้าในการเข้าเวรเฝ้ารักษาความปลอดภัยเนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์มีหมายกำหนดการจะเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นกรณีพิเศษโดยมิใช่เป็นแผนงานประจำปี
6.งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ใน"งบกลาง"ของสำนักนายกฯไม่ระบุจำนวน
งบกลางของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นงบฉุกเฉินโดยหลักการจะนำไปใช้ในส่วนของภัยสาธารณะต่างๆที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยมิต้องระบุรายละเอียดโครงการทำงานไว้ล่วงหน้าเหมือนงบอื่นๆที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.งบประมาณซึ่งทุกครั้งงบกลางนี้จะถูกอภิปรายจากสภาอย่างหนักที่สุดเพราะเป็นงบลอยที่ง่ายต่อการทุจริต(รัฐบาลถูกด่าแต่เจ้าใช้เงินโดยไม่มีใครรู้)ซึ่งก่อนหน้าทักษิณเป็นนายกฯตั้งไว้50,000ล้านบาทแต่นับตั้งแต่ทักษิณเป็นนายกฯเป็นต้นมางบนี้ก็เพิ่มเป็น100,000ล้านบาทและเมื่อประยุทธ์เป็นนายกฯได้เพิ่มเป็น300,000กว่าล้านบาท
งบกลางนี้รัฐมนตรีทุกคนรู้ว่าเป็นงบประมาณที่สำนักพระราชวังแฝงไว้สามารถหยิบใช้ได้เช่นงานจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชประสงค์เป็นเงินก้อนใหญ่หรือในส่วนที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องซื้อของชิ้นใหญ่ๆถวายเพื่อเอาใจเช่นซื้อเครื่องบินส่วนพระองค์หรือรถยนต์ที่พระองค์ทรงชื่นชมหรือในโอกาสที่พระองค์เอ่ยปากชอบรถยนต์ที่นายกฯใช้อยู่นายกฯที่รู้งานก็จะรีบเอาเงินส่วนนี้ซื้อถวาย
วิธีการเอาเงินงบกลางออกไปใช้ตามพระราชประสงค์ก็จะไม่เปิดเผยและไม่ให้เกิดข้อครหานินทาหรือไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้เป็นเงินก้อนใหญ่สำนักพระราชวังก็จะประสานกับปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการภายในเป็นความลับแล้วเลขาฯก็จะกระซิบบอกนายกให้ทราบโดยมีวิธีการปล้นเงินภาษีประชาชน3ขั้นตอนดังนี้
1)ทุกวันอังคารจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีและวันศุกร์หรืออย่างช้าเย็นวันจันทร์เจ้าหน้าที่จะนำเอกสารประกอบการประชุมไปให้รัฐมนตรีทุกคนแต่กรณีการขอ(หรือปล้น)งบกลางของราชสำนักจะไม่ยื่นเอกสารหรือแจ้งให้ทราบในวาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่จะไปยื่นให้ตอนเช้าวันที่ประชุมที่มีศัพท์เรียกว่า"วาระจร"
2)พอถึง9โมงเช้าวันอังคารครม.เข้านั่งห้องประชุมนายกฯนั่งเป็นประธานการประชุมเลขาฯครม.จะจัดเจ้าหน้าที่มา6คนโดยถือและคุมเอกสารของราชสำนักเป็นความลับโดยเจ้าหน้าที่ 1คนคุมเอกสารให้รัฐมนตรี 6คนดู(ครม.มี36คน,6คูณ6=36)
3)รัฐมนตรีส่วนใหญ่ยังไม่ทันเปิดดูเอกสารที่เรียกว่าวาระจรนี้นายกฯก็จะพูดใส่ไมโครโฟนว่า"สำนักพระราชวังเสนอมาขออนุมัตินะคะ(หรือนะครับถ้านายกเป็นผู้ชาย)แล้วครม.ก็จะต้องอนุมัติ
*ค่าใช้จ่ายอื่นๆเพื่อราชสำนักที่แฝงอยู่ในงานราชการอื่นๆนอกจากนี้มิได้รวมค่าใช้จ่ายไว้ในค่าใช้จ่ายเพื่อพระมหากษัตริย์ที่ปรากฎข้างต้นเช่นกระทรวงการคลังออกโครงการธนบัตรที่ระลึกใบละ60บาทออกขายให้ประชาชนเป็นระยะๆแล้วนำเงินถวายครั้งละประมาณ1,000ล้านบาท,การโฆษณาข่าวของราชสำนักเป็นกรณีพิเศษตอน2ทุ่มของทุกช่องโทรทัศน์ทุกวันซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุดซึ่งหากตีราคาเป็นค่าเช่าเวลาจะเป็นเงินมหาศาล,หรือการเปิดร้านที่ใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในสนามบินสุวรรณภูมิแต่กลับไม่จ่ายค่าเช่า,หรือการรับเงินและสิ่งของบริจาคต่างๆโดยไม่ต้องเสียภาษีรวมทั้งพระราชวังทั่วประเทศไม่ได้เสียภาษีโรงเรือนก็จะเห็นว่าประชาชนต้องแบกรับภาระที่หนักอึ้งทั้งหมดนี้แทนกษัตริย์และราชวงศ์ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นธรรมแต่ยังเป็นการลงทุนของรัฐที่ไม่เกิดผลประโยชน์กับประชาชนเลยอีกทั้งพระองค์ยังใช้อำนาจจับประชาชนที่ล่วงรู้ความไม่ถูกต้องหรือเพียงแค่สงสัยตั้งคำถามเข้าคุกโดยใช้กฎหมายพิเศษก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง,ดังนั้นหากจะเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองเป็นระบอบประธานาธิบดีงบประมาณต่างๆสูญเปล่าเหล่านี้ก็จะถูกนำกลับมารับใช้ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนอย่างในสหรัฐอเมริกาเงินงบประมาณจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพตรวจสอบได้ดังนั้นคุณภาพชีวิตของประชาชนจะดีขึ้นทันตาเห็น
*งบประมาณที่กษัตริย์นำไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งหมดนี้ทั้งก่อนและหลังการพิจารณางบประมาณในสภาทั้งสส.และสว.ห้ามอภิปรายทั้งในสภาและนอกสภา
*ถ้าท่านผู้อ่านจะสงสัยและถามว่าก็ในเมื่อเป็นความไม่ถูกต้องและเป็นความจริงเช่นนี้ทำไมไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะกล้าพูด?,คำตอบก็คือใครพูดก็คอขาดโดยจะมีคนไปแจ้งความจับในข้อหาพูดเท็จใส่ร้ายในหลวงมาตรา112และผู้ต้องหาก็ไม่มีโอกาสพิสูจน์ในศาลและไม่มีโอกาสได้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดีด้วยและหัวหน้าพรรคหรือรัฐมนตรีในกระทรวงใดก็ไม่กล้าไปให้การว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริงเพราะทุกคนที่จะไปยืนยันข้อมูลก็จะเจอข้อหาตามมาและหมดความเจริญเติบโตในชีวิต,ดูตัวอย่างของจริงที่พลตำรวจโทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ผู้บัญชาสอบสวนกลางและพรรคพวกเป็นตัวอย่างที่เก็บส่วยหาเงินเลี้ยงเจ้าแท้ๆเมื่อถูกจับยังต้องปิดปากเงียบต้องสารภาพไม่อาจสู้คดีได้และทรัพย์สินทั้งหมดถูกรวบรวมออกขายทอดตลาดทั้งหมดทันทีอย่างรวดเร็วเพราะหากสู้คดีอาจจะเกิดกรณีจำเลยในคดีกระโดดตึกตายและส่งเข้าเมรุเผาทันทีไม่ต้องพิสูจน์ศพและพระไม่ต้องสวดบังสกุล
*ในโครงสร้างเผด็จการของกษัตริย์เช่นนี้ก็จะเห็นชัดว่าประชาชนต้องสูญเสียเงินภาษีเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อให้แก่กษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นจำนวนมากแต่เงินเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายความสงบของสังคมด้วยการก่อจราจลล้มทุกรัฐบาลที่มีความมั่นคงเพราะปรัชญาการปกครองของกษัตริย์ไทยคือ"สถาบันกษัตริย์จะมั่นคงได้รัฐบาลของประชาชนต้องไม่มั่นคง"
คนไทยที่ยากจนอยู่แล้วกลับต้องยิ่งยากจนขึ้น,ทั้งที่เสียภาษีอย่างหนักอยู่แล้วแต่ภาษีกลับเป็นภัยย้อนมาหาตัวเองในรูปของความปั่นป่วนของสังคม
-------------------------------------
Link ตอนที่ผ่านมา
ตาสว่าง1. รัชกาลที่9 ฆ่าพี่ชายคือจุดเริ่มต้นระบอบราชาธิปไตยใหม่
ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี
ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์: ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์
ตาสว่างที่4: เลขากษัตริย์คือซุปเปอร์ปลัดกระทรวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น