10
ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น
ลี
ตาสว่าง1.
รัชกาลที่9 ฆ่าพี่ชายคือจุดเริ่มต้นระบอบราชาธิปไตยใหม่
ราชวงศ์จักรีเป็นราชวงศ์บาปที่ต้นตระกูลคือนายทองด้วงสมคบกับขุนนางใหญ่ทำรัฐประหารจับพระเจ้าตากสินซึ่งมีพระคุณต่อแผ่นดินฆ่าหมดโคตรบาปกรรมจึงตกกับแผ่นดินจนถึงเช้าวันที่ 9มิถุนายน
2489 วงจรอุบาทว์ก็หวนกลับมาที่เจ้าฟ้าภูมิพลฆ่ารัชกาลที่8เจ้าฟ้าอานันทมหิดลพี่ชาย,จากสถานการณ์นี้ฝ่ายราชสำนักจึงฉวยโอกาสจากความใจอ่อนของคณะราษฎรโดยเฉพาะนายปรีดี
พนมยงค์และการวางแผนร่วมของนางสังวาลย์สมเด็จย่าร่วมกันปิดคดีแต่งตั้งเจ้าฟ้าภูมิพลขึ้นเป็นรัชกาลที่9 แล้วหลังจากนั้นราชสำนักก็จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เชื้อพระวงศ์ร่วมกันก่อตั้งทำการตลบหลังป้ายสีว่านายปรีดีเป็นผู้วางแผนลอบปลงพระชนม์แล้วประหารชีวิต
3ข้าราชบริภารที่เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดร.8 คือ
นายชิต,นายบุศและ
นายเฉลียว, แต่จนถึงวันนี้หลักฐานจากคำพิพากษาและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ยืนยันแล้วว่า
3ข้าราชบริภารนี้เป็นแพะและปรีดีก็บริสุทธิ์
ความจริงเรื่องการตายของ
ร.8 จึงชัดเจนด้วยหลักฐานและเหตุการณ์ทางการเมืองกว่า
60ปี ว่า ร.9
เป็นคนฆ่า
ร.8,
การปิดบังอำพรางเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้มีวิธีการที่เลวร้ายและทำอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยคือห้ามพูดห้ามวิจารณ์ห้ามศึกษาวิจัยค้นหาใดๆในเหตุการณ์นี้แม้แต่ในสถาบันการศึกษาทุกแห่งทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกโดยใช้กฎหมายมาตรา112 ลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรงและอย่างเหวี่ยงแหรวมทั้งห้ามไม่ให้มีการบันทึกเหตุการณ์การสวรรคตของรัชกาลที่8 ในทุกแห่งแม้แต่ในหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาของไทย,
เรื่องนี้จึงกลายเป็นความดำมืดและเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่กษัตริย์ภูมิพลเพื่อปิดบังอาชญากรรมที่ตนเองก่อขึ้นและหวาดระแวงตลอดเวลาว่าความจริงจะเปิดเผยดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างเกราะคุ้มกันด้วยการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ที่ตัวเองด้วยวิธีการที่เลวร้ายโดยใช้วิธีแบ่งแยกแล้วทำลายอำนาจฝ่ายตรงข้ามทีละส่วนไม่ให้ใครขึ้นมามีอำนาจได้ยาวนานรวมถึงการทำลายระบอบประชาธิปไตยไม่ให้ตั้งมั่นที่จะสร้างผู้นำที่เข้มแข็งได้และนี้คือจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ที่หยั่งรากลึกยาวนานกว่า
60ปี ที่สร้างผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศแผ่นดินต้องทุกข์ระทมผู้คนยากจนตราบจนใกล้สิ้นรัชกาลปัญหายิ่งเน่าเฟะ,
ด้วยเหตุนี้รัฐไทยตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงเป็นช่วงที่มีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญมากที่สุดโดยพระองค์ท่านได้เข้าร่วมดำเนินการเองทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งเชิดตัวแทนขึ้นปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่าจะมั่นคงก็จะสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหารแล้วแบ่งเศษอำนาจให้ขุนศึกและเมื่อเกิดการระแวงสงสัยก็จะทำลายอย่างเลือดเย็น,หลักฐานชัดเจนคือทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหารจะมีคนใกล้ชิดกษัตริย์ภูมิพลขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี, ที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่การรัฐประหาร
ปี2500 เป็นต้นมาเช่นนายพจน์
สารสิน (สายสกุลสารสินของนายพจน์เช่นอาสา สารสิน,นายพงศ์
สารสินเป็นต้นก็ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ร่วมกับวังไม่สุดสิ้นอยู่จนถึงวันนี้),
นายธานินท์
กรัยวิเชียร(องคมนตรี), พลเอกเปรม
ตินสูลานนท์(องคมนตรี),
นายอานันท์ ปันยารชุน,
พลเอกสุรยุทธ
จุลานนท์(องคมนตรี)รวมถึงการปูนบำเหน็จให้แก่แกนนำผู้ยึดอำนาจเป็นององคมนตรีเช่นการรัฐประหาร
19
กันยายน 2549 ก็ดึงเอาพลอากาศเอกชลิต
พุกผาสุข
ผู้บัญชาการทหารอากาศขึ้นเป็นองคมนตรีโดยไม่อายฟ้าดินและล่าสุดพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา ก็เป็นทหารคนสนิทของวัง(ทั้งแม่และเมียก็รับใช้อยู่ในวัง)
แต่หากนายกฯ
คนใดแสดงให้เห็นว่าจะมีอำนาจทางการเมืองมั่นคงแม้จะเป็นคนสนิทของพระองค์ก็จะถูกทำลายด้วยรูปการต่างๆ
รวมถึงวิธีการที่ไม่น่าเชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลที่ประกาศเชิดชูคุณธรรมด้วยถ้อยคำว่า
"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"
จะกล้าทำนั่นคือสนับสนุนให้สายงานอำนาจของตนก่อจลาจลในบ้านเมืองเพื่อใช้เป็นข้ออ้างล้มนายกฯ
และตั้งตัวแทนของตนขึ้นเป็นนายกฯเองเช่นการล้ม
จอมพลป.
พิบูลย์สงคราม
ด้วยการก่อจลาจลว่าเลือกตั้งไม่เป็นธรรมก็ให้นายพจน์
สารสินขึ้นเป็นนายกฯก่อนจะเปิดทางให้ จอมพลสฤษธิ์, จอมพลถนอม
กิติขจร ถูกโค่นล้มด้วยเหตุการณ์จลาจล 14
ตุลา
2516
ก็ให้องคมนตรีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นเป็นนายกฯ, เสนีย์
ปราโมช กษัตริย์ภูมิพลลงมือปลุกลูกเสือชาวบ้านด้วยตัวเองให้ฆ่านักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายกลางสนามหลวงด้วยการใส่ร้ายว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์
6
ตุลา 2519 แล้วล้มรัฐบาลให้องคมนตรีนายธานินท์
กรัยวิเชียรขึ้นเป็นนายกฯ, พลเอกเกรียงศักดิ์
ชมะนันท์ ถูกโค่นล้มจากการก่อม็อบกรณีรถเมล์ขึ้นราคาก็ให้พลเอกเปรม
ขึ้นเป็นนายกฯ, พลเอกสุจินดา
คราประยูรถูกโค่นล้มจากกรณีก่อการจลาจลของพลตรีจำลองด้วยข้ออ้างว่าไม่มาจากการเลือกตั้ง(แต่แท้จริงทหารรุ่น5 เป็นเอกภาพมากกลัวจะแผ่อำนาจนาน)
ก็ให้นายอานันท์เป็นนายกฯ, ทักษิณ
ถูกโค่นล้มก็ให้องคมนตรีพลเอกสุรยุทธขึ้นเป็นนายกฯ, ก่อจลาจลยึดทำเนียบและสนามบินของกลุ่มพันธมิตรที่ใช้สัญลักษณ์พระนามย่อ
‘ภปร.’ ล้มรัฐบาลนายสมัคร
สุนทรเวช(อดีตคนเคยรักแต่เกลียดเพราะไปใกล้ทักษิณโดยไม่อาจดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรที่กระทำผิดได้จนทุกวันนี้)
แล้วให้นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะขึ้นเป็นนายกฯและปกป้องอำนาจให้นายอภิสิทธิ์โดยสั่งการให้ทหารสังหารประชาชนผู้ร้องขอให้ยุบสภาอย่างเหี้ยมโหดที่ราชประสงค์ในเดือนพฤษภาคม2553 (ก็ไม่อาจจะดำเนินคดีกับหุ่นเชิดนายอภิสิทธิ์-สุเทพได้อีกเช่นเดียวกับการสังหารประชาชนในอดีต),
แต่รายล่าสุดทำรัฐประหารล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แล้วให้พลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา
คนสนิทขึ้นเป็นนายกฯยังไม่รู้จุดจบเพราะพระองค์หมดสภาพใกล้สิ้นพระชนม์และทิ้งปัญหาวิกฤติการแต่งตั้งรัชกาลที่10 ไว้อันเป็นบาปกรรมที่หวงแหนอำนาจไว้จนลมหายใจสุดท้ายเช่นทุกรัชกาล
ด้วยเหตุนี้ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวภายใต้
"ระบอบราชาธิปไตยใหม่"
ที่กษัตริย์จะเชิดตัวแทนขึ้นบริหารแต่ไม่ให้มีอำนาจจริง,
โดยอำนาจจริงอยู่ในมือกษัตริย์ภูมิพลโดยการกุมกองทัพ, ศาลและสื่อมวลชนเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงเรื่องคุณธรรมจอมปลอม,
ตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงตกอยู่ในวงจรอุบาทมีการรัฐประหารมากที่สุด, มีความสงบสุขเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น, ไม่ว่าใครจะขึ้นมาปกครองก็ไม่มีอำนาจจริงจึงเป็นที่มาของระบอบพิการคือ
"คนมีอำนาจไม่บริหารและคนบริหารก็ไม่มีอำนาจ"
และนี้คือระบอบราชาธิปไตยใหม่
โดยกลไกทางธรรมชาติและผลกรรมที่กษัตริย์ภูมิพลก่อไว้กำลังทำลายตัวเอง,ขอเพียงแต่พี่น้องประชาชนศึกษาเพื่อให้เกิดตาสว่างร่วมกันแล้วจงหาวิธีการกำจัดระบอบที่เลวร้ายเพื่อสร้างรัฐใหม่ที่มั่นคงเพื่อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง/
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ