วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แนวทางสร้างรัฐประชาธิปไตยไทยใหม่: บทศึกษาจากความเป็นจริง

โดยดร.จอห์น ลี


1.มูลเชื้อที่ต้องเปลี่ยนไทยเป็นเขตปกครองแนวสาธารณรัฐ
สืบเนื่องจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้สร้างโครงสร้างอำนาจและความเชื่อที่เลวร้ายโดยให้ศาล,กองทัพ,ระบบราชการและศาสนาขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นเสมือนสมบัติส่วนตัวและผูกมัดอำนาจทั้งประเทศไว้กับกษัตริย์ด้วยระบบคิดที่สามานย์แฝงด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวของกษัตริย์เองว่า"ไทยเป็นรัฐเดี่ยว"จะแบ่งแยกมิได้และตลอดระยะเวลากว่า50ปีก็ได้ใช้กลไกเหล่านี้ทำรัฐประหารและสร้างไทยให้มีวิกฤติการเมืองไม่หยุดหย่อนจนถึงปลายรัชกาลก็ยิ่งเกิดปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างทายาทกษัตริย์ซึ่งแท้จริงก็คือการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์อันมหาศาลของทายาทกษัตริย์และเครือข่ายองคมนตรีโดยอาศัยระบบรัฐเดี่ยวเป็นกลไกก่อการจราจลปิดประเทศจนแม้วันนี้กษัตริย์ภูมิพลได้ตายแล้วก็ยังปกปิดปลอมลายเซนต์เพื่ออ้างความชอบธรรมซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลวอย่างน่าละอายชาวโลกที่สุด,ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนไทยจะต้องหาทางออกจากเวทมนต์ดำของกษัตริย์ไทยด้วยการสร้างประเทศไทยใหม่ที่เดินแนวทางประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงอย่างนานาอารยะประเทศโดยกระจายอำนาจออกเป็น6เขตปกครองตนเองตามพื้นฐานวัฒนธรรมและรากฐานทางประวัติศาสตร์คือเขตภาคเหนือ,อีสานเหนือ,อีสานใต้,ภาคใต้ตอนบน,ภาคใต้ตอนล่างและภาคกลางและเมื่อแบ่งเขตเช่นนี้แล้วแม้จะมีกษัตริย์ที่ชอบใช้ทหารทำรัฐประหารก็ไม่อาจจะทำได้อีกต่อไปซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสมอภาคและเสรีภาพในการใช้ศักยภาพของประชาชนทุกภาคแข่งขันการพัฒนาประเทศในโครงสร้างประชาธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพที่เป็นจริงและจะทำให้การพัฒนาการผลิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมิใช่ตกอยู่ใต้อิทธพลคำหลอกลวงที่กดหัวประชาชนให้โง่กับคำว่า"เศรษฐกิจพอเพียง"

2.การรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่กษัตริย์กลายเป็นวิกฤติที่ยากจะแก้ปัญหาในระบอบเดิม
การรวมศูนย์อำนาจทั้งทางการเมือง,เศรษฐกิจและวัฒนธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้ทำให้เกิดภาวะวิกฤติที่ซับซ้อนและยากจะแก้ไขเพราะทุกกระบวนการจะถูกชี้นำจากสำนักพระราชวังโดยตรงผ่านเป็นพระราชดำรัสของพระองค์เองและถูกชี้นำโดยอ้อมผ่านองค์มนตรีแต่ก็ห้ามมิให้ใครกล่าวอ้างหรือวิจารณ์แต่ต้องปฏิบัติตามซึ่งเป็นที่มาของคำว่า"การสั่งการโดยมือที่มองไม่เห็น"เริ่มตั้งแต่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี,ใครจะเป็นผู้บัญชาการทหารบก,ใครจะเป็นรัฐมนตรี,ใครจะเป็นประธานศาลฎีกา,ใครจะเป็นปลัดกระทระทรวง,ใครจะเป็นอธิบดี,ใครจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจหรือแม้แต่พระรูปใดจะเป็นสังฆราชหรือแม้แต่แนวนโยบายการบริหารรัฐที่สำคัญเช่นที่เกียวกับการแก้ปัญหา4จังหวัดภาคใต้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักด้วยกระบวนการจัดการที่เรียกว่ามือมองไม่เห็นและห้ามประชาชนวิจารณ์,ในทางกฎหมายดูเหมือนจะมีหลักเกณฑ์การเลือกเลื่อนตำแหน่งแต่ในทางปฏิบัติใครที่สามารถต่อสายถึงชั้นในสำนักพระราชวังได้ผู้นั้นจะได้มีโอกาสสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งบริหารระดับสูงล้วนแต่ต้องต่อสายตรงหรือหากตำแหน่งใดไม่มีการต่อสายตรงแต่หากเพียงแค่มีข่าวว่าพระองค์ทรงไม่พอพระทัยต่อผู้ที่ดำรงค์ตำแหน่งนั้นๆฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาก็จะไม่กล้าแต่งตั้งหรือที่แต่งตั้งแล้วก็จะต้องถูกกำจัดออกไปให้พ้นสายพระเนตรซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นที่รู้กันในแวดวงการเมืองระดับสูงรูปธรรมก็มีให้เห็นกันมากมายแต่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ดังนั้นการกระทำที่ไร้เหตุผลในประเทศไทยจึงมีมากมายและทุกคนที่อยากจะเจริญเติบโตในหน้าที่การงานก็ต้องสัดทัดในการอธิบายสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่งให้มีเหตุผลโดยคนที่เห็นต่างก็ต้องเชื่อเช่น"การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่ดี"หรือ"ในหลวงทรงพระปรีชาสามารถในทุกเรื่อง"จึงเป็นที่มาของคำว่า"ตอแหลแลนด์"ซึ่งตัวอย่างมีมากมายแต่ในที่นี้ขอยกรูปธรรมเพื่อการศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงเช่น

-เรื่องการไม่พอใจตัวประธานศาลฎีกา,ปี2534เป็นที่รู้กันว่านายประมาณ ชันซื่อ ได้รับเลือกตั้งจากคณะกรรมการตุลาการให้ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาแต่ไม่เป็นที่โปรดปราณของกษัตริย์ภูมิพลเมื่อเกิดการรัฐประหาร23กุมภาพันธ์2534โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร และเบื้องต้นยอมให้คนของกษัตริย์คือนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรีและให้นายประภาส อวยชัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อเข้ามาจัดการตามพระราชประสงค์จนกลายเป็นวิกฤติตุลาการที่รุนแรงมากถึงขนาดนายปรีดี เกษมทรัพย์ นักกฎหมายอาวุโสทนไม่ไหวเขียนบทความตีพิมพ์ในวารสารวันรพีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"เมื่อประมุขตุลาการเผชิญหน้ากับกษัตริย์"และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เกิดการรวบอำนาจในองค์กรตุลาการโดยราชสำนักและใช้กลุ่มตุลาการขยายตัวเข้ามาควบคุมทางการเมืองจนถึงวันนี้

-เรื่องการไม่พอใจตัวนายกรัฐมนตรี,ปี2535หลังจากเลือกตั้งภายหลังการรัฐประหารพลเอกสุจินดา คราประยูรก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยความไม่พอใจของกษัตริย์ภูมิพลก็เกิดจราจลในเดือนพฤษาคม2535และเมื่อพลเอกสุจินดายอมลาออกก็จะต้องตั้งนายกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนซึ่งขณะนั้นพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดพลเอกสุจินดาและเป็นผู้กุมเสียงข้างมากกำลังรอการโปรดเกล้าปรากฎว่าพระบรมราชโองการกลับไปแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุนคนของกษัตริย์ภูมิพลกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นการกระทำของกษัตริย์แต่ก็แกล้งโง่โดยเบี่ยงเบนไปว่าเป็นความกล้าหาญของนายอาทิตย์ประธานรัฐสภา

-เรื่องการแทรกแซงการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ,ปี2548ขณะที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี(ก่อนจะเกิดรัฐประหาร)ตามกฎหมายเป็นอำนาจนายกฯในการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่ต้องทูลเกล้ารายชื่อเพื่อให้กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแต่ปรากฎว่าเมื่อเสนอทูลเกล้าขึ้นไปแล้วนานกว่า1เดือนก็ไม่ยอมลงนามให้จนมีการเจรจาต่อรองและทักษิณยอมเปลี่ยนชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศให้เป็นพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข จึงมีการโปรดเกล้าลงนามลงมาซึ่งใช้เวลานานถึง45วันแล้วสุดท้ายพลอากาศเอกชลิต ก็กลายเป็นแกนนำยึดอำนาจทักษิณ และทุกวันนี้ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรีซึ่งมีประวัติในการจัดซื้อเครื่องบินกริฟฟิน1ฝูงที่มีราคาแพงมากเป็นที่ประจักษ์ซึ่งรู้กันในวงการว่าเป็นไปตามความประสงค์ของราชสำนัก

-การแทรกแซงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง,ปี2554หลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงสุดพรรคฯจะให้พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัยขึ้นเป็นประธานรัฐสภา แต่มีข่าวว่าในหลวงไม่ทรงโปรดเพราะคำพูดของพ.อ.อภิวันท์เรื่อง"ให้ระวังจะเป็นเหมือนราชวงศ์โรมานอฟ"และ"คุณลุงสั่งฆ่าคุณป้าสั่งยิง"แล้วก็ไม่ได้เป็นประธานรัฐสภาจริงๆ

-การแทรกแซงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและส่งสัญญานความไม่พอใจการเป็นนายกฯ,ปี2554พระบรมราชโองการโปรดเกล้านางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯรัฐมนตรีไม่มาตามกำหนดนัดผิดเวลาไป2วันซึ่งขณะนั้นตามโผพ.อ.อภิวันท์มีรายชื่ออยู่ในคณะรัฐมนตรีแต่เมื่อรายชื่อหลุดออกจากครม.แล้วพระบรมราชโองการก็มาตามกำหนดและหลังเป็นนายกฯเพียง3เดือนก็เกิดม็อบแช่แข็งปิดประเทศของเสธ.อ้ายออกมาเพื่อล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์

-การแทรกแซงทางศาสนา,ปี2545ถึง2558(ขณะนี้)เป็นช่วงวุ่นวายเกี่ยวกับวงการสงฆ์มีเหตุการแปลกประหลาดนับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชพระญานสังวร(สายธรรมยุทธเป็นคนสนิทกษัตริย์ภูมิพลโดยเป็นพระพี่เลี้ยงเมื่อครั้งกษัตริย์ภูมิพลบวชพระและมีบทบาทช่วยรับเณรถนอมมาบวชเป็นพระจนเกิดเหตุสังหารโหดนักศึกษาในเหตุการณ์6ตุลาคม2519)เกิดล้มป่วยปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เถระสมาคมได้เลือกสมเด็จเกี่ยววัดสระเกศ(สายมหานิกาย)ที่มีอาวุโสสูงสุดขึ้นรักษาการสังฆราชก็เกิดการประท้วงจากพระสายวังนำโดยหลวงตาบัวเกจิอาจารย์จากอุดรและตราบจนกระทั่งสมเด็จเกี่ยวมรณะภาพก็ไม่มีการแต่งตั้งให้สมเด็จเกียวขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราชจนปัจจุบันก็มีการเลือกตั้งให้สมเด็จช่วงวัดปากน้ำ(สายมหานิกาย)ขึ้นรักษาการตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอีกและก็ยังไม่มีการโปรดเกล้าเป็นให้เป็นสังฆราชอย่างเป็นทางการอีกเช่นกันโดยไม่มีเหตุผลใดๆ

-ปัญหาวิกฤติความรุนแรงใน4จังหวัดภาคใต้ก็เป็นการกุมนโยบายสายตรงจากวังผ่านกองทัพ(ไม่ผ่านรัฐบาล)แม้ในสมัยที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอแนวนโยบาย"มหานครปัตตานี"ให้มีการปกครองตนเองแบบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงโดยมือมองไม่เห็นผ่านสายทหารแล้วรัฐบาลพลเอกชวลิตก็ต้องล้มไปด้วยม็อบก่อจราจลที่เริ่มต้นที่ถนนสีลม(ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับม็อบพันธมิตร,ม็อบกปปส.ที่ก่อจราจลล้มรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัคร-สมชายและรัฐบาลยิ่งลักษณ์)จนถึงทุกวันนี้ก็ทำไม่ได้และต่อมารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะพยายามหาทางแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยการเจรจาโดยย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเนื่องจากมีนโยบายต่างจากรัฐบาลและให้พลโทภราดร พัฒนถาบุตร มาดำรงตำแหน่งแทนเพื่อปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล แต่ก็มีการฟ้องศาลปกครองโดยนายถวิล เปลี่ยนสีซึ่งเป็นคนสนิทของพล.อ.อ.สิทธิ์ เศวตศิลา องคมนตรีและเป็นที่รูกันทั่วไปว่าศาลปกครองที่ใกล้ชิดกับกษัตริย์ภูมิพลก็ตัดสินให้นายถวิลกลับสู่ตำแหน่งเดิมดังนั้นนโยบายภาคใต้ที่จะจบลงด้วยการเจรจาก็ต้องล้มไปและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องล้มไปพร้อมกันจากการรัฐประหาร

การรวมศูนย์อำนาจทั้งหมดอยู่ที่สำนักพระราชวังดังที่กล่าวข้างต้นโดยใช้เครือข่ายอำนาจผ่านองคมนตรี,กองทัพ,ตำรวจ,ศาลและศาสนาเช่นนี้จึงเป็นที่มาแห่งผลประโยชน์ทางทรัพย์สินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่วังอย่างไม่ขาดสายประกอบกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์(แม้โดยกฎหมายจะเป็นของประชาชนแต่โดยอำนาจของกษัตริย์ก็ผนวกไปเป็นของส่วนตัว)และทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เป็นฐานขนาดใหญ่จึงส่งผลให้กษัตริย์ภูมิพลกลายเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกและเมื่อพระองค์ใกล้สิ้นพระชนม์และด้วยความเห็นแก่ตัวก็ไม่ยอมถ่ายอำนาจให้แก่ลูกและไม่ยอมลงจากราชบัลลังก์จึงกลายเป็นวิกฤติจากการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กองมหาศาลระหว่างฟ้าชายและพระเทพพร้อมบริวารกองเชียร์ที่เห็นเป็นโอกาสที่จะฉกฉวยผลประโยชน์ทั้งทรัพย์สินและอำนาจทั้งในส่วนกองทหาร,พรรคการเมืองและกลุ่มข้าราชการพลเรือนและกลุ่มนายทุนที่ใช้การกล่าวอ้างแสดงความจงรักภักดีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์กัน

วันนี้การกล่าวอ้างถึงการปฏิรูปการเมืองและจำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้ทันสมัยก็ล้วนแต่เป็นการโกหกคำโตเพราะแท้จริงก็เป็นเพียงกลอุบายที่กล่าวอ้างเพื่อสร้างอำนาจให้อยู่กับวังโดยมีเหล่าขุนนางอำมาตย์เป็นผู้ร่วมใช้อำนาจส่วนประชาชนก็ถูกถีบออกให้ห่างออกจากอำนาจดังนั้นหากจะยังปกครองด้วยคำกล่าวอ้างว่าเป็น"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"ก็ไม่มีทางที่จะนำประเทศชาติไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นจริงได้และหากจะรอให้เกิดการเปลี่ยนระบอบโดยการลุกฮือของประชาชนพร้อมกันทั้งประเทศก็เป็นเพียงความหวังแต่ในภาคปฏิบัติก็ยากจะขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมหรือจะประสานกับกองทัพในปีกที่ก้าวหน้าเพื่อจะทำการปฏิวัติในแนวทางคณะราษฎรในปี2475ก็ยังมองไม่เห็นทาง หรือหากมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งปรากฎขึ้นเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบโดยไม่มีกษัตริย์ได้ก็ยังไม่มีแนวทางว่าจะจัดรูปแบบการปกครองอย่างไรเพื่อไม่ให้อำนาจตกไปอยู่ในมือกองทัพที่พิสูจน์ตัวเองมานานกว่า50ปีแล้วว่าไม่มีจิตสำนึกทางประชาธิปไตยเลย,อนาคตประเทศไทยจึงมืดมนต์มองไม่เห็แสงสว่างและด้วยเหตุนี้การนำเสนอแนวเพื่อสร้างรัฐประชาธิปไตยของประชาชนตามภาวะประวัติศาสตร์โดยกำหนดจังหวะก้าวและทิศทางอนาคตให้ประชาชนเตรียมการโดยการปลดปล่อยลดทอนอำนาจของกษัตริย์และกองทัพที่กดขีประชาชนออกเป็นส่วนๆเพื่อให้การรวมศูนย์อำนาจเผด็จการจากส่วนกลางควบคุมยากขึ้นเพื่อให้ดอกไม้ประชาธิปไตยในภูมิภาคเบ่งบาน//


(ถ้าเห็นด้วยช่วยแชร์และติดตามต่อหัวข้อที่3)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น