วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ตาสว่างที่4: เลขากษัตริย์คือซุปเปอร์ปลัดกระทรวง

นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี

ตาสว่างที่4: เลขากษัตริย์คือซุปเปอร์ปลัดกระทรวง



เมื่อกษัตริย์ภูมิพลคุมกองทัพและศาล(ตามท่ีกล่าวรูปธรรมไว้ในตาสว่างที่2,3)อำนาจบริหารรัฐจึงอยู่ในกำมือของกษัตริย์ด้วยเหตุนี้รัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากประชาชนจึงไม่มีความมั่นคงและโดยพระราชประสงค์ของพระองค์ก็ไม่ชื่นชมต่อระบอบประชาธิปไตยเพียงแต่โลกสมัยใหม่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ดังจะเห็นได้จากตลอดรัชสมัยของพระองค์, พระองค์ก็ไม่เคยแสดงออกใดๆหรือไม่เคยมีพระราชดำรัสใดๆที่ชื่นชมหรือปกป้องระบอบประชาธิปไตยเลยแต่ในทางตรงข้ามพระองค์กลับทรงตำหนินักการเมืองและระบอบประชาธิปไตยในที่สาธารณะอยู่เสมอรวมตลอดทั้งมีการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งให้ทหารพระราชาทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลประชาธิปไตยอยู่เสมอเช่นเปิดทางให้ประธานองคมนตรีพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ ออกมายุยงให้ทหารทำการรัฐประหารเช่นคำกล่าวของพลเอกเปรมที่โด่งดังในช่วงปี2549 เรื่อง "จ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของม้าแต่ม้าเป็นของเจ้าของคอกม้าดังนั้นม้าไม่ต้องฟังจ๊อกกี้" และก็ตามมาด้วยการรัฐประหาร19 กันยา 2549 และล่าสุดก็กล่าวต่อหน้าคณะของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร22พฤษภาคม2557ในโอกาสเข้าอวยพรปีใหม่เมื่อต้นปี2558ว่า "พลเอกประยุทธ์ทำการรัฐประหารก็เพื่อพระเจ้าอยู่หัว" และหลักฐานที่เป็นประจักษ์พยานเมื่อเกิดการรัฐประหารตามการชี้นำของประธานองคมนตรีแล้วกษัตริย์ภูมิพลก็เปิดทางให้ประธานองคมนตรีนำคณะผู้ยึดอำนาจเข้าเฝ้าและพระองค์ก็จะลงนามอนุมัติให้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆและที่สำคัญพระองค์ก็ยังทรงชุบเลี้ยงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยตรงมาตลอดอย่างยาวนานแล้วตั้งแต่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ในปี2519จนถึงพล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุขในปี2549ในฐานะองคมนตรี


ในการบริหารงานรัฐที่เป็นงานของข้าราชการประจำพระองค์ก็ทำหน้าที่เหมือนนายกรัฐมนตรี,มีคณะองคมนตรีทำหน้าที่เหมือนคณะรัฐมนตรีและมีราชเลขาธิการคือท่านแก้วขวัญ วัชชโรทัยทำหน้าที่เหมือนเลขาธิการนายกรัฐมนตรีโดยนำนโยบายจากวังทั้งหมดรวมถึงโครงการพระราชดำริผลักเข้าไปในทุกกระทรวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการ,กระทรวงเกษตร,กระทรวงการต่างประเทศจะมีสายตรงจากสำนักพระราชวังไปเป็นปลัดกระทรวง,อธิบดี,เอกอัครราชฑูต(ในประเทศที่สำคัญที่มีผลประโยชน์ของราชสำนักลงทุนหรือมีพระราชวังที่เชื้อพระวงศ์จะเสด็จไปพักตากอากาศเช่นสหรัฐอเมริกา,อังกฤษ,เยอรมันเป็นต้นและฑูตในประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้ใกล้ชิดและทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจฑูตเหล่านี้จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเช่นนายอานัน ปันยารชุณเป็นต้น)รวมถึงการออกแบบโครงสร้างให้คนของวังเข้าไปนั่งเป็นกรรมการคุมนโยบายและใช้งบประมาณของกระทรวงโดยตรงเช่นนายพารณ อิสระเสณา และนายแพทย์เกษม วัฒนชัย(องคมนตรี) นั่งเป็นกรรมการนโยบายทางการศึกษาในกระทรวงศึกษาที่มีฐานะสูงกว่ารัฐมนตรีและไม่ต้องออกตามวาระและทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมจากรัฐสภา


เพื่อให้เห็นชัดเจนดังตัวอย่างหนึ่งในหลายร้อยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ต้องพูดถึงคือการประชุมคณะปลัดกระทรวงประจำเดือนซึ่งเป็นการประสานงานในฐานะผู้ปฏิบัติงานระดับสูงที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีปรากฎว่านายแก้วขวัญ วัชชโรทัย ราชเลขาธิการก็เข้าร่วมประชุมด้วยซึ่งแน่นอนที่สุดก็จะได้รับความเกรงใจจากที่ประชุมจนเป็นที่มาของคำว่า"ซุปเปอร์ปลัดกระทรวง"


เมื่อความจริงปรากฎเช่นนี้การปกครองของไทยจึงเป็น"ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช"สมบูรณ์แบบเพียงแต่อยู่ในโลกยุคใหม่กษัตริย์จึงจำเป็นต้องคุมอำนาจอธิปไตยแฝงอยู่ในระบอบรัฐสภาดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมตลอดระยะเวลากว่า50ปีจึงเกิดการรัฐประหารล้มระบอบการปกครองที่มาจากประชาชนอยู่เสมอและก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพระองค์จึงเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ประชาชนยากจน?


-------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น