โดยดร.จอห์น ลี
1.มูลเชื้อที่ต้องเปลี่ยนไทยเป็นเขตปกครองแนวสาธารณรัฐ
สืบเนื่องจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้สร้างโครงสร้างอำนาจและความเชื่อที่เลวร้ายโดยให้ศาล,กองทัพ,ระบบราชการและศาสนาขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นเสมือนสมบัติส่วนตัวและผูกมัดอำนาจทั้งประเทศไว้กับกษัตริย์ด้วยระบบคิดที่สามานย์แฝงด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวของกษัตริย์เองว่า"ไทยเป็นรัฐเดี่ยว"จะแบ่งแยกมิได้และตลอดระยะเวลากว่า50ปีก็ได้ใช้กลไกเหล่านี้ทำรัฐประหารและสร้างไทยให้มีวิกฤติการเมืองไม่หยุดหย่อนจนถึงปลายรัชกาลก็ยิ่งเกิดปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างทายาทกษัตริย์ซึ่งแท้จริงก็คือการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์อันมหาศาลของทายาทกษัตริย์และเครือข่ายองคมนตรีโดยอาศัยระบบรัฐเดี่ยวเป็นกลไกก่อการจราจลปิดประเทศจนแม้วันนี้กษัตริย์ภูมิพลได้ตายแล้วก็ยังปกปิดปลอมลายเซนต์เพื่ออ้างความชอบธรรมซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลวอย่างน่าละอายชาวโลกที่สุด,ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนไทยจะต้องหาทางออกจากเวทมนต์ดำของกษัตริย์ไทยด้วยการสร้างประเทศไทยใหม่ที่เดินแนวทางประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงอย่างนานาอารยะประเทศโดยกระจายอำนาจออกเป็น6เขตปกครองตนเองตามพื้นฐานวัฒนธรรมและรากฐานทางประวัติศาสตร์คือเขตภาคเหนือ,อีสานเหนือ,อีสานใต้,ภาคใต้ตอนบน,ภาคใต้ตอนล่างและภาคกลางและเมื่อแบ่งเขตเช่นนี้แล้วแม้จะมีกษัตริย์ที่ชอบใช้ทหารทำรัฐประหารก็ไม่อาจจะทำได้อีกต่อไปซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสมอภาคและเสรีภาพในการใช้ศักยภาพของประชาชนทุกภาคแข่งขันการพัฒนาประเทศในโครงสร้างประชาธิปไตยอย่างมีประสิทธิภาพที่เป็นจริงและจะทำให้การพัฒนาการผลิตและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมิใช่ตกอยู่ใต้อิทธพลคำหลอกลวงที่กดหัวประชาชนให้โง่กับคำว่า"เศรษฐกิจพอเพียง"
2.การรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่กษัตริย์กลายเป็นวิกฤติที่ยากจะแก้ปัญหาในระบอบเดิม
การรวมศูนย์อำนาจทั้งทางการเมือง,เศรษฐกิจและวัฒนธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้ทำให้เกิดภาวะวิกฤติที่ซับซ้อนและยากจะแก้ไขเพราะทุกกระบวนการจะถูกชี้นำจากสำนักพระราชวังโดยตรงผ่านเป็นพระราชดำรัสของพระองค์เองและถูกชี้นำโดยอ้อมผ่านองค์มนตรีแต่ก็ห้ามมิให้ใครกล่าวอ้างหรือวิจารณ์แต่ต้องปฏิบัติตามซึ่งเป็นที่มาของคำว่า"การสั่งการโดยมือที่มองไม่เห็น"เริ่มตั้งแต่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี,ใครจะเป็นผู้บัญชาการทหารบก,ใครจะเป็นรัฐมนตรี,ใครจะเป็นประธานศาลฎีกา,ใครจะเป็นปลัดกระทระทรวง,ใครจะเป็นอธิบดี,ใครจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจหรือแม้แต่พระรูปใดจะเป็นสังฆราชหรือแม้แต่แนวนโยบายการบริหารรัฐที่สำคัญเช่นที่เกียวกับการแก้ปัญหา4จังหวัดภาคใต้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักด้วยกระบวนการจัดการที่เรียกว่ามือมองไม่เห็นและห้ามประชาชนวิจารณ์,ในทางกฎหมายดูเหมือนจะมีหลักเกณฑ์การเลือกเลื่อนตำแหน่งแต่ในทางปฏิบัติใครที่สามารถต่อสายถึงชั้นในสำนักพระราชวังได้ผู้นั้นจะได้มีโอกาสสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งบริหารระดับสูงล้วนแต่ต้องต่อสายตรงหรือหากตำแหน่งใดไม่มีการต่อสายตรงแต่หากเพียงแค่มีข่าวว่าพระองค์ทรงไม่พอพระทัยต่อผู้ที่ดำรงค์ตำแหน่งนั้นๆฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาก็จะไม่กล้าแต่งตั้งหรือที่แต่งตั้งแล้วก็จะต้องถูกกำจัดออกไปให้พ้นสายพระเนตรซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นที่รู้กันในแวดวงการเมืองระดับสูงรูปธรรมก็มีให้เห็นกันมากมายแต่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ดังนั้นการกระทำที่ไร้เหตุผลในประเทศไทยจึงมีมากมายและทุกคนที่อยากจะเจริญเติบโตในหน้าที่การงานก็ต้องสัดทัดในการอธิบายสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่งให้มีเหตุผลโดยคนที่เห็นต่างก็ต้องเชื่อเช่น"การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ไม่ดี"หรือ"ในหลวงทรงพระปรีชาสามารถในทุกเรื่อง"จึงเป็นที่มาของคำว่า"ตอแหลแลนด์"ซึ่งตัวอย่างมีมากมายแต่ในที่นี้ขอยกรูปธรรมเพื่อการศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริงเช่น
-เรื่องการไม่พอใจตัวประธานศาลฎีกา,ปี2534เป็นที่รู้กันว่านายประมาณ ชันซื่อ ได้รับเลือกตั้งจากคณะกรรมการตุลาการให้ขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาแต่ไม่เป็นที่โปรดปราณของกษัตริย์ภูมิพลเมื่อเกิดการรัฐประหาร23กุมภาพันธ์2534โดยพลเอกสุจินดา คราประยูร และเบื้องต้นยอมให้คนของกษัตริย์คือนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรีและให้นายประภาส อวยชัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อเข้ามาจัดการตามพระราชประสงค์จนกลายเป็นวิกฤติตุลาการที่รุนแรงมากถึงขนาดนายปรีดี เกษมทรัพย์ นักกฎหมายอาวุโสทนไม่ไหวเขียนบทความตีพิมพ์ในวารสารวันรพีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"เมื่อประมุขตุลาการเผชิญหน้ากับกษัตริย์"และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เกิดการรวบอำนาจในองค์กรตุลาการโดยราชสำนักและใช้กลุ่มตุลาการขยายตัวเข้ามาควบคุมทางการเมืองจนถึงวันนี้
-เรื่องการไม่พอใจตัวนายกรัฐมนตรี,ปี2535หลังจากเลือกตั้งภายหลังการรัฐประหารพลเอกสุจินดา คราประยูรก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยความไม่พอใจของกษัตริย์ภูมิพลก็เกิดจราจลในเดือนพฤษาคม2535และเมื่อพลเอกสุจินดายอมลาออกก็จะต้องตั้งนายกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนซึ่งขณะนั้นพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดพลเอกสุจินดาและเป็นผู้กุมเสียงข้างมากกำลังรอการโปรดเกล้าปรากฎว่าพระบรมราชโองการกลับไปแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุนคนของกษัตริย์ภูมิพลกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นการกระทำของกษัตริย์แต่ก็แกล้งโง่โดยเบี่ยงเบนไปว่าเป็นความกล้าหาญของนายอาทิตย์ประธานรัฐสภา
-เรื่องการแทรกแซงการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ,ปี2548ขณะที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี(ก่อนจะเกิดรัฐประหาร)ตามกฎหมายเป็นอำนาจนายกฯในการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพแต่ต้องทูลเกล้ารายชื่อเพื่อให้กษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแต่ปรากฎว่าเมื่อเสนอทูลเกล้าขึ้นไปแล้วนานกว่า1เดือนก็ไม่ยอมลงนามให้จนมีการเจรจาต่อรองและทักษิณยอมเปลี่ยนชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศให้เป็นพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข จึงมีการโปรดเกล้าลงนามลงมาซึ่งใช้เวลานานถึง45วันแล้วสุดท้ายพลอากาศเอกชลิต ก็กลายเป็นแกนนำยึดอำนาจทักษิณ และทุกวันนี้ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรีซึ่งมีประวัติในการจัดซื้อเครื่องบินกริฟฟิน1ฝูงที่มีราคาแพงมากเป็นที่ประจักษ์ซึ่งรู้กันในวงการว่าเป็นไปตามความประสงค์ของราชสำนัก
-การแทรกแซงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง,ปี2554หลังการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงสุดพรรคฯจะให้พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัยขึ้นเป็นประธานรัฐสภา แต่มีข่าวว่าในหลวงไม่ทรงโปรดเพราะคำพูดของพ.อ.อภิวันท์เรื่อง"ให้ระวังจะเป็นเหมือนราชวงศ์โรมานอฟ"และ"คุณลุงสั่งฆ่าคุณป้าสั่งยิง"แล้วก็ไม่ได้เป็นประธานรัฐสภาจริงๆ
-การแทรกแซงการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีและส่งสัญญานความไม่พอใจการเป็นนายกฯ,ปี2554พระบรมราชโองการโปรดเกล้านางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯรัฐมนตรีไม่มาตามกำหนดนัดผิดเวลาไป2วันซึ่งขณะนั้นตามโผพ.อ.อภิวันท์มีรายชื่ออยู่ในคณะรัฐมนตรีแต่เมื่อรายชื่อหลุดออกจากครม.แล้วพระบรมราชโองการก็มาตามกำหนดและหลังเป็นนายกฯเพียง3เดือนก็เกิดม็อบแช่แข็งปิดประเทศของเสธ.อ้ายออกมาเพื่อล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
-การแทรกแซงทางศาสนา,ปี2545ถึง2558(ขณะนี้)เป็นช่วงวุ่นวายเกี่ยวกับวงการสงฆ์มีเหตุการแปลกประหลาดนับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชพระญานสังวร(สายธรรมยุทธเป็นคนสนิทกษัตริย์ภูมิพลโดยเป็นพระพี่เลี้ยงเมื่อครั้งกษัตริย์ภูมิพลบวชพระและมีบทบาทช่วยรับเณรถนอมมาบวชเป็นพระจนเกิดเหตุสังหารโหดนักศึกษาในเหตุการณ์6ตุลาคม2519)เกิดล้มป่วยปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เถระสมาคมได้เลือกสมเด็จเกี่ยววัดสระเกศ(สายมหานิกาย)ที่มีอาวุโสสูงสุดขึ้นรักษาการสังฆราชก็เกิดการประท้วงจากพระสายวังนำโดยหลวงตาบัวเกจิอาจารย์จากอุดรและตราบจนกระทั่งสมเด็จเกี่ยวมรณะภาพก็ไม่มีการแต่งตั้งให้สมเด็จเกียวขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราชจนปัจจุบันก็มีการเลือกตั้งให้สมเด็จช่วงวัดปากน้ำ(สายมหานิกาย)ขึ้นรักษาการตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอีกและก็ยังไม่มีการโปรดเกล้าเป็นให้เป็นสังฆราชอย่างเป็นทางการอีกเช่นกันโดยไม่มีเหตุผลใดๆ
-ปัญหาวิกฤติความรุนแรงใน4จังหวัดภาคใต้ก็เป็นการกุมนโยบายสายตรงจากวังผ่านกองทัพ(ไม่ผ่านรัฐบาล)แม้ในสมัยที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอแนวนโยบาย"มหานครปัตตานี"ให้มีการปกครองตนเองแบบการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงโดยมือมองไม่เห็นผ่านสายทหารแล้วรัฐบาลพลเอกชวลิตก็ต้องล้มไปด้วยม็อบก่อจราจลที่เริ่มต้นที่ถนนสีลม(ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเดียวกับม็อบพันธมิตร,ม็อบกปปส.ที่ก่อจราจลล้มรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัคร-สมชายและรัฐบาลยิ่งลักษณ์)จนถึงทุกวันนี้ก็ทำไม่ได้และต่อมารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะพยายามหาทางแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยการเจรจาโดยย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเนื่องจากมีนโยบายต่างจากรัฐบาลและให้พลโทภราดร พัฒนถาบุตร มาดำรงตำแหน่งแทนเพื่อปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล แต่ก็มีการฟ้องศาลปกครองโดยนายถวิล เปลี่ยนสีซึ่งเป็นคนสนิทของพล.อ.อ.สิทธิ์ เศวตศิลา องคมนตรีและเป็นที่รูกันทั่วไปว่าศาลปกครองที่ใกล้ชิดกับกษัตริย์ภูมิพลก็ตัดสินให้นายถวิลกลับสู่ตำแหน่งเดิมดังนั้นนโยบายภาคใต้ที่จะจบลงด้วยการเจรจาก็ต้องล้มไปและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องล้มไปพร้อมกันจากการรัฐประหาร
การรวมศูนย์อำนาจทั้งหมดอยู่ที่สำนักพระราชวังดังที่กล่าวข้างต้นโดยใช้เครือข่ายอำนาจผ่านองคมนตรี,กองทัพ,ตำรวจ,ศาลและศาสนาเช่นนี้จึงเป็นที่มาแห่งผลประโยชน์ทางทรัพย์สินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่วังอย่างไม่ขาดสายประกอบกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์(แม้โดยกฎหมายจะเป็นของประชาชนแต่โดยอำนาจของกษัตริย์ก็ผนวกไปเป็นของส่วนตัว)และทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เป็นฐานขนาดใหญ่จึงส่งผลให้กษัตริย์ภูมิพลกลายเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกและเมื่อพระองค์ใกล้สิ้นพระชนม์และด้วยความเห็นแก่ตัวก็ไม่ยอมถ่ายอำนาจให้แก่ลูกและไม่ยอมลงจากราชบัลลังก์จึงกลายเป็นวิกฤติจากการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กองมหาศาลระหว่างฟ้าชายและพระเทพพร้อมบริวารกองเชียร์ที่เห็นเป็นโอกาสที่จะฉกฉวยผลประโยชน์ทั้งทรัพย์สินและอำนาจทั้งในส่วนกองทหาร,พรรคการเมืองและกลุ่มข้าราชการพลเรือนและกลุ่มนายทุนที่ใช้การกล่าวอ้างแสดงความจงรักภักดีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์กัน
วันนี้การกล่าวอ้างถึงการปฏิรูปการเมืองและจำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้ทันสมัยก็ล้วนแต่เป็นการโกหกคำโตเพราะแท้จริงก็เป็นเพียงกลอุบายที่กล่าวอ้างเพื่อสร้างอำนาจให้อยู่กับวังโดยมีเหล่าขุนนางอำมาตย์เป็นผู้ร่วมใช้อำนาจส่วนประชาชนก็ถูกถีบออกให้ห่างออกจากอำนาจดังนั้นหากจะยังปกครองด้วยคำกล่าวอ้างว่าเป็น"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"ก็ไม่มีทางที่จะนำประเทศชาติไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นจริงได้และหากจะรอให้เกิดการเปลี่ยนระบอบโดยการลุกฮือของประชาชนพร้อมกันทั้งประเทศก็เป็นเพียงความหวังแต่ในภาคปฏิบัติก็ยากจะขับเคลื่อนเป็นรูปธรรมหรือจะประสานกับกองทัพในปีกที่ก้าวหน้าเพื่อจะทำการปฏิวัติในแนวทางคณะราษฎรในปี2475ก็ยังมองไม่เห็นทาง หรือหากมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งปรากฎขึ้นเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบโดยไม่มีกษัตริย์ได้ก็ยังไม่มีแนวทางว่าจะจัดรูปแบบการปกครองอย่างไรเพื่อไม่ให้อำนาจตกไปอยู่ในมือกองทัพที่พิสูจน์ตัวเองมานานกว่า50ปีแล้วว่าไม่มีจิตสำนึกทางประชาธิปไตยเลย,อนาคตประเทศไทยจึงมืดมนต์มองไม่เห็แสงสว่างและด้วยเหตุนี้การนำเสนอแนวเพื่อสร้างรัฐประชาธิปไตยของประชาชนตามภาวะประวัติศาสตร์โดยกำหนดจังหวะก้าวและทิศทางอนาคตให้ประชาชนเตรียมการโดยการปลดปล่อยลดทอนอำนาจของกษัตริย์และกองทัพที่กดขีประชาชนออกเป็นส่วนๆเพื่อให้การรวมศูนย์อำนาจเผด็จการจากส่วนกลางควบคุมยากขึ้นเพื่อให้ดอกไม้ประชาธิปไตยในภูมิภาคเบ่งบาน//
(ถ้าเห็นด้วยช่วยแชร์และติดตามต่อหัวข้อที่3)
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
สำนักข่าวดังระดับโลกให้เกียรติ์กษัตริย์ไทยรวยที่สุดในโลกแต่มักจะให้โอวาทประชาชนมีชีวิตอยู่แค่ "พอเพียง"
สำนักข่าวดังระดับโลกให้เกียรติ์ในหลวงบอกที่มาของรายได้หลักๆที่ทำให้พระองค์ทรงครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ในประเทศไทยตลอดกาลและเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ให้โอวาทประชาชนมีชีวิตอยู่แค่ "พอเพียง"
--------------------------
•เนื้อข่าวสำคัญ•
นายวิลเลียม เมลเลอร์ ( William Mellor) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) กล่าวในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศและพบว่าการครองสิริราชย์สมบัติผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวสองแสนล้านๆบาท ซึ่งเรื่องนี้นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนใดๆในการทำรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดกว่า 30% ในหุ้นเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพนักงานในเครือกว่า 24,000 คน ผลิตสินค้านับตั้งแต่เคมีภัณฑ์ ไปยันวัสดุก่อสร้างสารพัด ส่วนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 3 ของไทย และในหลวงทรงถือหุ้นอยู่ 21% ส่วนเทเวศน์ประกันภัย ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯถืออยู่ 87% หากนับหุ้นที่ถือผ่านสำนักงานทรัพย์สินฯแล้ว ก็จะคิดเป็น 7.5%ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนซึ่งตกใจกลัวจากเหตุการณ์รัฐประหารก็กำลังเฝ้าจังหวะที่จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยอยู่ แต่ระหว่างนั้นก็จ้องจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่ในหลวงทรงถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระราชบัลลังก์มาอย่างมั่นคงกว่า 61 ปี แล้ว ก็นับว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดของประเทศไทย รวมทั้งเป็นประเทศเกษตรและอุตสาหกรรมที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเป็นทั้งประเทศที่ส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน
ตามตัวเลขเดิมนั้น กษัตริย์มีที่นาที่ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี สระบุรี นครนายก อยุธยา ปทุมธานี ตามที่รัฐบาลเปิดเผย 53,683 ไร่ โดยแจกเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินแก่ราษฎร 43,143ไร่ ส่วนที่ดินในกรุงเทพฯนั้นกษัตริย์มีที่ดินอยู่เกือบครึ่งเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณศูนย์การค้า เช่น สยามสแควร์ ราชประสงค์ สุขุมวิท สีลม สาธร ท่าพระจันทร์ สองข้างถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง หัวลำโพง ราชเทวี ประตูน้ำ สำเพ็ง ราชวงศ์ เยาวราช สี่พระยา บางรัก วงเวียนใหญ่ คลองเตย ฯลฯ
และที่สำคัญคือเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสนามม้าสองแห่งเนื้อที่หลายร้อยไร่ นับเป็นแหล่งการพนันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ กษัตริย์จะได้ค่าเช่าจากสนามม้า ปีละมหาศาล และที่แน่ๆ ก็คือทรงสนับสนุนการแข่งม้า มีการประทานถ้วยให้ม้าแข่งชนะเลิศ
นอกจากนี้ คนยากจนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ก็ยังอาศัยในที่ดินของ คนกรุงเทพฯอยู่ในสลัมถึง 8 แสนคน เกือบทั้งหมดต้องเช่าที่ดินอยู่ และกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินของทางราชการและสำนักงานทรัพย์สิน กษัตริย์จึงเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่ที่ทำประโยชน์อย่างมหาศาล และไม่มีใครกล้าแตะต้องยุ่งเกี่ยวด้วยโดยเฉพาะการเสนอกฎหมายจำกัดการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวทรงมีที่ดิน 32,500 ไร่
ในนั้นกว่า 7,500 ไร่ อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทย โดยพื้นที่บางแห่งมีมูลค่าตารางวาละหลายแสนบาท จากการประเมินของบริษัทซีพีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
พื้นที่บางส่วนถูกนำไปพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นช็อปปิ้งมอลล์ใหญ่ที่สุดของประเทศ, สวนลุมไนต์บาร์ซ่า พื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ทรงไล่นักเรียนเตรียมทหารออกไปเรียนที่นครนายก, พื้นที่ถนนราชดำเนินอันเต็มไปด้วยตึกสวยงามและสถานที่ตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ และโรงแรมโฟร์ซีซั่น และโรงแรมดุสิตธานี
พระเจ้าอยู่หัวยังทรงถือหุ้น 87% ในโรงแรม เคมเพน สกี้ Kem penski ซึ่งมีฐานมาจากมิวนิค ประเทศเยอรมันนีด้วย ผ่านทางบริษัท CPB EQUITY ทั้งนี้รายงานในปี 2548 ระบุว่าเคมเพนสกี้ในไทยมีมูลค่ากว่า 716 ล้านเหรียญ (กว่า23,000 ล้านบาท)
คริส เบเกอร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนเรื่อง " ประวัติศาสตร์ไทย ” ร่วมกับดร.สุก พงษ์ไพจิตร ถึงกับกล่าวว่า“ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง โดยชี้ว่า "สำนักงานทรัพย์สินฯคือองค์กรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ” ในเรื่องงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรอุดหนุนสถาบันกษัตริย์นั้น ทุกประเทศในยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้ว เงินปีที่ประชาชนถวายให้ในฐานะประมุขของประเทศที่พัฒนาแล้ว มีค่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินปีที่ประชาชนถวายให้กับสถาบันกษัตริย์ และสมาชิกราชวงศ์ของประเทศไทย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีคนจนมากมาย อีกทั้งทุกพระองค์ได้รับอภิสิทธิ์ในการยกเว้นภาษีเงินได้ ในขณะที่สถาบันกษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ในประเทศพัฒนาแล้วต้องเสียภาษีเงินได้มากกว่า 40 เปอร์เซนต์
นอกจากนี้ประชาชนในประเทศไทยยังต้องถวายเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในราชวงศ์ เพื่อแสดงความจงรักภักดี อาทิ โครงการในพระราชดำริทุกโครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบและประเมินผลได้ โครงการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจ และพระกรณียกิจของทุกพระองค์ เป็นต้น อีกทั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีเงินได้ ข้อมูลจากนิตยสารเอลสิเวียร์ Elsevierซึ่งเป็นนิตยสารด้านการเงินของประเทศเนเธอร์แลนด์บอกว่า ควีนเบียทริกซ์ มีเงินปีที่ได้รับการถวายในการดำรงตำแหน่ง 762000 ยูโรต่อปี หรือราวปีละ 40 ล้านบาทซึ่งต้องเสียภาษีมากกว่า 40 เปอร์เซนต์ แตกต่างจากงบประมาณที่ประชาชนในประเทศไทยถวายให้กับสำนักพระราชวังสำหรับสำหรับทุกพระองค์ ดังตัวเลขเงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สำนักพระราชวังดังนี้
งบประมาณของสำนักพระราชวัง
ปี 2545 -1,136,536,600 บาท
ปี 2546 -1,209,861,700 บาท
ปี 2547-1,275,948,400 บาท
ปี 2548 -1,501,472,900 บาท
ปี 2549 -1,676,888,800 บาท
ปี 2550 -1,945,122,400 บาท
แยกรายจ่ายเฉพาะปี 2550 เฉพาะที่น่าสนใจ
1. งบบุคลากร 835,701,700 บาท
1.1 เงินเดือนและค่าจ้างประจำ 833,201,700 บาท
1.2 ค่าจ้างชั่วคราว 2,500,000 บาท
2. งบดำเนินงาน 339,869,300 บาท
2.1 ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ156,432,500 บาท
(1) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 24 คัน4,635,200 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น23,176,000 บาท
(2) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 23 คัน5,110,700 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น25,553,500 บาท
3. งบลงทุน 9,162,200 บาท
3.1 ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง9,162,200 บาท
3.1.1 ค่าครุภัณฑ์5,979,700 บาท
4. งบเงินอุดหนุน 756,889,200 บาท
4.1 เงินอุดหนุนทั่วไป756,889,200 บาท
1. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ในพระราชฐานที่ประทับ 280,000,000 บาท
2. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานที่ประทับ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร 180,000,000 บาท
3. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระองค์ 65,625,000 บาท
4. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ 57,856,000 บาท
5. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานต่างจังหวัด 100,000, 000 บาท
6. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินเบี้ยหวัดข้าราชการฝ่ายใน 8,908, 200 บาท
7. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินพระราชกุศลตามพระราชอัธาศัย 9,000, 000 บาท
8. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 19,000, 000 บาท
9. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมากจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 6,500,000 บาท
10. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระราชฐานและซ่อมเครื่องตกแต่ง 10,000,000 บาท
11. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพร้อมจัดหาซ่อม ทำเครื่องใช้เครื่องตกแต่ง 15,000,000 บาท
12. เงินอุดหนุนโครงการบูรณาการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 5,000,000 บาท
ยังมีงบแยกเป็นของสำนักเลขาธิการพระราชวังอีก 400 กว่าล้านบาท
ประเทศไทยนอกจาก จะมีราชวงศ์ที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บโดยมีทรัพย์สินล่าสุดรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านล้านบาทแล้ว ประชาชาวไทยยังมีภาระเลี้ยงดูราชวงศ์ที่แพงที่สุด มากกว่าราชวงศ์ในประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
กษัตริย์ของประเทศอังกฤษและยุโรปเขาจนกว่ากษัตริย์ของเรามาก และกษัตริย์ของเขาต้องเสียภาษีแต่กษัตริย์ของไทยเรารวยกว่าเขามาก แถมยังไม่ต้องเสียภาษีและมีงบประมาณสนับสนุนอย่างเหลือเฟือ รวมทั้งได้รับเงินบริจาคที่มีจากหลายๆแหล่งตลอดทั้งปี.//
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
หนังสืออ.สมศักดิ์ชี้แจงกรณีธรรมศาสตร์ปลดออก
เสรีไทยถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาตร์ที่บอกความจริงอีกชิ้นหนึ่งนอกจากการจับนักศึกษาเข้าคุกข้อหา 112 ว่าเผด็จการทหารพระราชาคุกคามเสรีภาพทางวิชาการอย่างรุนแรงมากเป็นสัญญานมืดบอดของสังคมไทย
เสรีไทยเห็นเป็นจุดวิกฤติทางปัญญาขออนุญาติช่วยนำออกเผยแพร่
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
••••••••••••••••
Somsak Jeamteerasakul
นี่เป็นหนังสือชี้แจงของผม ที่ส่งให้ทางมหาวิทยาลัย เมื่อต้นเดือนนี้ เมื่อทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการสอบสวนทางวินัย..............
(๑) ดังที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้มีคณะทหารกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจการปกครอง ล้มรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรงที่สุด หลังจากนั้นไม่กี่วัน คณะทหารที่ทำการโดยมิชอบและผิดกฎหมายนั้น ได้สั่งให้บุคคลจำนวนมากเข้าไปรายงานตัว รวมทั้งผมด้วย เมื่อผมไม่ไปรายงานตัว ก็ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ ๒ คันรถไปที่บ้านผม เมื่อไม่พบ ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจติดตามรังควาน (harassment) ต่อภรรยา แม่ และพี่ชายของผมถึงบ้านและที่ทำงานของพวกเขา โดยที่ญาติของผมเหล่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำใดๆของผมเลย ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันนับเดือน พร้อมกันนั้น คณะทหารดังกล่าวยังได้ทำการยกเลิกหนังสือเดินทางของผม และออกหมายจับตัวผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัวผมไม่เคยคิดหรือเรียกร้องให้ใครจะต้องมีท่าทีต่อการยึดอำนาจในลักษณะกบฏครั้งนี้แบบเดียวกับผม แต่ในส่วนตัวผมเอง
ในฐานะพลเมืองและข้าราชการคนหนึ่ง และในฐานะสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ผมถือเป็นหน้าที่สูงสุดที่จะไม่ยอมทำตามการกระทำที่ผิดกฎหมายร้ายแรงที่สุดดังกล่าวของคณะทหารนั้น (แม้แต่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ก็มีบทบัญญัติให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนไทยที่จะต่อต้านการล้มรัฐธรรมนูญอย่างสันติ) ผมจึงไม่สามารถที่จะอยู่ปฏิบัติราชการเพื่อให้คณะบุคคลที่ทำการกบฏดังกล่าวมาจับกุมตัวอย่างไม่ชอบธรรมได้ ผมถือว่านี่คือการปฏิบัติหน้าที่สูงสุดที่ในฐานะพลเมืองหรือข้าราชการคนหนึ่ง หรือ “ชาวธรรมศาสตร์” ผู้หนึ่ง จะพึงปฏิบัติได้ ในการต่อต้านการกระทำผิดกฎหมายอันร้ายแรงที่สุดของคณะทหารดังกล่าว
(๒) คณะทหารที่ทำการยึดอำนาจดังกล่าว หลังการยึดอำนาจแล้ว ก็ได้ดำเนินการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ (ที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) อย่างขนานใหญ่ ดำเนินการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ในเวลาสั้นๆจนถึงขณะนี้รวมแล้วเกือบ ๓๐ คน หรือโดยเฉลี่ยกว่า ๓ คนต่อเดือน (หรือประมาณ ๑ คนทุกๆ ๑๐ วัน) โดยที่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบยุติธรรม” ของคณะยึดอำนาจนั้น แทบทุกคนที่ถูกจับไป ถูกปฏิบัติในลักษณะที่ถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีความผิด ไม่มีการให้ประกันตัว แม้กระทั่ง ในกรณีที่เป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่กำลังจะจบการศึกษา จนแทบทุกคนดังกล่าวถูกบีบบังคับให้จำเป็นต้องเลือกวิธี “สารภาพ” เพื่อจะได้หาทางย่นเวลาของการต้องถูกจองจำให้สั้นลง การใช้กฎหมายในลักษณะดังกล่าวของคณะทหารผู้ยึดอำนาจ ยังได้ส่งเสริมให้เกิดการใช้กฎหมายนี้อย่างผิดๆมากขึ้นไปอีก ถึงขั้นที่แม้แต่การพูดถึงพระมหากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว ก็ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างฟ้องร้องได้ดังที่ทราบกันดีว่า
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเป็นผู้หนึ่งที่เรียกร้องและสนับสนุนให้มีการปฏิรูปแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดต่อยุคสมัยและไม่ชอบด้วยหลักการปกครองประชาธิปไตย โดยที่ผมได้ทำการเรียกร้องนั้นอย่างสันติ และภายใต้กรอบของกฎหมายที่มีอยู่นั้นเอง แต่คณะทหารกลุ่มเดียวกับที่ทำการยึดอำนาจในขณะนี้ ได้มุ่งที่จะทำร้ายผมโดยไม่คำนึงถึงแม้แต่กรอบของกฎหมายที่มีอยู่ ดังกรณีสำคัญ ๒ กรณีซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไป คือ ในปี ๒๕๕๔ คณะทหารกลุ่มนี้ได้แจ้งความฟ้องร้องผมในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จากการที่ผมเขียนบทความพาดพิงถึงพระดำรัสชองสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทั้งๆที่พระองค์หาได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด และในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ หลังจากผมได้เขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียวิจารณ์การที่คนไทยกลุ่มหนึ่งมีลักษณะนิยมเจ้าอย่างงมงาย (ที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า ultra-royalism) ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ได้พาดพิงถึงแม้แต่พระราชวงศ์พระองค์ใด อย่าว่าแต่พระราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายดังกล่าว แต่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น (หรือผู้นำคณะยึดอำนาจในปัจจุบัน) ได้ให้โฆษกของเขาออกมาข่มขู่ว่า จะ “ใช้มาตรการทางสังคมเพื่อกดดัน” ต่อผม หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็มีบุคคลลึกลับไปยิงผมถึงบ้าน จนเกือบจะทำร้ายถึงชีวิตและร่างกายของผม หลังการยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคมและหลังจากการมีหมายจับผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัวกับคณะผู้ยึดอำนาจแล้ว เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คณะผู้ยึดอำนาจดังกล่าว ยังได้ให้เจ้าหน้าที่ออกหมายจับผมอีกหมายจับหนึ่งในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยอ้างการเขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียดังกล่าวอีกด้วย
ตลอดเวลานับ ๑๐ ปี ที่ผมทำการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์รวมถึงการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ผมได้กระทำภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่คิดที่จะใช้วิธีการอื่นใดหรือหลบลี้หนีหน้าไปไหน ไม่ว่าจะถูกผู้ไม่เห็นด้วยข่มขู่คุกคาม หรือใช้วิธีนอกกรอบของกฎหมายมาพยายามทำร้ายอย่างไร แต่ภายใต้การปกครองของคณะยึดอำนาจชุดปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแต่ได้ขยายปัญหาที่มีอยู่แล้วในกฎหมายดังกล่าวออกไปอีกอย่างมากมายไม่เคยปรากฏมาก่อน (การฟ้อง-การจับอย่างเหวี่ยงแห, การสันนิษฐานล่วงหน้าว่ากระทำผิด, การห้ามประกันอย่างผิดนิติธรรม และการตัดสินคดีในลักษณะครอบจักรวาลมากขึ้นๆ) แต่ยังได้แสดงให้เห็นชัดเจนมาตลอดตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจว่า มุ่งจะทำร้ายผมโดยเฉพาะเจาะจง – ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งแน่นอนว่า ผมจะไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิงที่จะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างยุติธรรมตามหลักกฎหมาย ผมจึงมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของตน ด้วยการไม่ยินยอมให้คณะทหารที่ยึดอำนาจอย่างกบฏจับกุมและทำร้ายด้วยข้ออ้างเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือข้ออ้างใดๆ
ตลอดเวลา ๒๐ ปีที่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้พยายามปฏิบัติงานอย่างสุดความสามารถตามหน้าที่โดยไม่ละเว้น (เช่น ผมแทบจะไม่เคยขาดการสอนเลย) ทั้งยังได้พยายามปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศ และสมาชิกที่ดีของประชาคมธรรมศาสตร์ แต่ในภาวะการณ์ที่มีผู้ทำผิดกฎหมายร้ายแรง ตั้งตนเป็นผู้ปกครองประเทศและหัวหน้าระบบราชการอย่างผิดกฎหมาย แล้วอ้างอำนาจที่ตัวเองไม่มีอยู่ มุ่งจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของผมโดยตรงเช่นนี้ ผมถือเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ในฐานะข้าราชการ ในฐานะพลเมือง และสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ที่จะไม่ปฏิบัติตาม และต่อต้าน ปฏิเสธการพยายามจับกุมคุมขังและทำร้ายผมของพวกเขาดังกล่าว
เสรีไทยเห็นเป็นจุดวิกฤติทางปัญญาขออนุญาติช่วยนำออกเผยแพร่
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
••••••••••••••••
Somsak Jeamteerasakul
นี่เป็นหนังสือชี้แจงของผม ที่ส่งให้ทางมหาวิทยาลัย เมื่อต้นเดือนนี้ เมื่อทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการสอบสวนทางวินัย..............
(๑) ดังที่ทราบกันแล้วว่า เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้มีคณะทหารกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจการปกครอง ล้มรัฐธรรมนูญ อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายที่ร้ายแรงที่สุด หลังจากนั้นไม่กี่วัน คณะทหารที่ทำการโดยมิชอบและผิดกฎหมายนั้น ได้สั่งให้บุคคลจำนวนมากเข้าไปรายงานตัว รวมทั้งผมด้วย เมื่อผมไม่ไปรายงานตัว ก็ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ ๒ คันรถไปที่บ้านผม เมื่อไม่พบ ก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจติดตามรังควาน (harassment) ต่อภรรยา แม่ และพี่ชายของผมถึงบ้านและที่ทำงานของพวกเขา โดยที่ญาติของผมเหล่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการกระทำใดๆของผมเลย ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันนับเดือน พร้อมกันนั้น คณะทหารดังกล่าวยังได้ทำการยกเลิกหนังสือเดินทางของผม และออกหมายจับตัวผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัวผมไม่เคยคิดหรือเรียกร้องให้ใครจะต้องมีท่าทีต่อการยึดอำนาจในลักษณะกบฏครั้งนี้แบบเดียวกับผม แต่ในส่วนตัวผมเอง
ในฐานะพลเมืองและข้าราชการคนหนึ่ง และในฐานะสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ผมถือเป็นหน้าที่สูงสุดที่จะไม่ยอมทำตามการกระทำที่ผิดกฎหมายร้ายแรงที่สุดดังกล่าวของคณะทหารนั้น (แม้แต่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ก็มีบทบัญญัติให้เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนไทยที่จะต่อต้านการล้มรัฐธรรมนูญอย่างสันติ) ผมจึงไม่สามารถที่จะอยู่ปฏิบัติราชการเพื่อให้คณะบุคคลที่ทำการกบฏดังกล่าวมาจับกุมตัวอย่างไม่ชอบธรรมได้ ผมถือว่านี่คือการปฏิบัติหน้าที่สูงสุดที่ในฐานะพลเมืองหรือข้าราชการคนหนึ่ง หรือ “ชาวธรรมศาสตร์” ผู้หนึ่ง จะพึงปฏิบัติได้ ในการต่อต้านการกระทำผิดกฎหมายอันร้ายแรงที่สุดของคณะทหารดังกล่าว
(๒) คณะทหารที่ทำการยึดอำนาจดังกล่าว หลังการยึดอำนาจแล้ว ก็ได้ดำเนินการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ (ที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) อย่างขนานใหญ่ ดำเนินการจับกุมคุมขังบุคคลต่างๆ ในเวลาสั้นๆจนถึงขณะนี้รวมแล้วเกือบ ๓๐ คน หรือโดยเฉลี่ยกว่า ๓ คนต่อเดือน (หรือประมาณ ๑ คนทุกๆ ๑๐ วัน) โดยที่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ระบบยุติธรรม” ของคณะยึดอำนาจนั้น แทบทุกคนที่ถูกจับไป ถูกปฏิบัติในลักษณะที่ถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีความผิด ไม่มีการให้ประกันตัว แม้กระทั่ง ในกรณีที่เป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่กำลังจะจบการศึกษา จนแทบทุกคนดังกล่าวถูกบีบบังคับให้จำเป็นต้องเลือกวิธี “สารภาพ” เพื่อจะได้หาทางย่นเวลาของการต้องถูกจองจำให้สั้นลง การใช้กฎหมายในลักษณะดังกล่าวของคณะทหารผู้ยึดอำนาจ ยังได้ส่งเสริมให้เกิดการใช้กฎหมายนี้อย่างผิดๆมากขึ้นไปอีก ถึงขั้นที่แม้แต่การพูดถึงพระมหากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว ก็ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างฟ้องร้องได้ดังที่ทราบกันดีว่า
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเป็นผู้หนึ่งที่เรียกร้องและสนับสนุนให้มีการปฏิรูปแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดต่อยุคสมัยและไม่ชอบด้วยหลักการปกครองประชาธิปไตย โดยที่ผมได้ทำการเรียกร้องนั้นอย่างสันติ และภายใต้กรอบของกฎหมายที่มีอยู่นั้นเอง แต่คณะทหารกลุ่มเดียวกับที่ทำการยึดอำนาจในขณะนี้ ได้มุ่งที่จะทำร้ายผมโดยไม่คำนึงถึงแม้แต่กรอบของกฎหมายที่มีอยู่ ดังกรณีสำคัญ ๒ กรณีซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไป คือ ในปี ๒๕๕๔ คณะทหารกลุ่มนี้ได้แจ้งความฟ้องร้องผมในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จากการที่ผมเขียนบทความพาดพิงถึงพระดำรัสชองสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทั้งๆที่พระองค์หาได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด และในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ หลังจากผมได้เขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียวิจารณ์การที่คนไทยกลุ่มหนึ่งมีลักษณะนิยมเจ้าอย่างงมงาย (ที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่า ultra-royalism) ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ได้พาดพิงถึงแม้แต่พระราชวงศ์พระองค์ใด อย่าว่าแต่พระราชวงศ์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายดังกล่าว แต่ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น (หรือผู้นำคณะยึดอำนาจในปัจจุบัน) ได้ให้โฆษกของเขาออกมาข่มขู่ว่า จะ “ใช้มาตรการทางสังคมเพื่อกดดัน” ต่อผม หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็มีบุคคลลึกลับไปยิงผมถึงบ้าน จนเกือบจะทำร้ายถึงชีวิตและร่างกายของผม หลังการยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคมและหลังจากการมีหมายจับผมที่ไม่ยอมไปรายงานตัวกับคณะผู้ยึดอำนาจแล้ว เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ คณะผู้ยึดอำนาจดังกล่าว ยังได้ให้เจ้าหน้าที่ออกหมายจับผมอีกหมายจับหนึ่งในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยอ้างการเขียนข้อความทางโซเชียลมีเดียดังกล่าวอีกด้วย
ตลอดเวลานับ ๑๐ ปี ที่ผมทำการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์รวมถึงการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ผมได้กระทำภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่คิดที่จะใช้วิธีการอื่นใดหรือหลบลี้หนีหน้าไปไหน ไม่ว่าจะถูกผู้ไม่เห็นด้วยข่มขู่คุกคาม หรือใช้วิธีนอกกรอบของกฎหมายมาพยายามทำร้ายอย่างไร แต่ภายใต้การปกครองของคณะยึดอำนาจชุดปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแต่ได้ขยายปัญหาที่มีอยู่แล้วในกฎหมายดังกล่าวออกไปอีกอย่างมากมายไม่เคยปรากฏมาก่อน (การฟ้อง-การจับอย่างเหวี่ยงแห, การสันนิษฐานล่วงหน้าว่ากระทำผิด, การห้ามประกันอย่างผิดนิติธรรม และการตัดสินคดีในลักษณะครอบจักรวาลมากขึ้นๆ) แต่ยังได้แสดงให้เห็นชัดเจนมาตลอดตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจว่า มุ่งจะทำร้ายผมโดยเฉพาะเจาะจง – ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งแน่นอนว่า ผมจะไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิงที่จะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างยุติธรรมตามหลักกฎหมาย ผมจึงมีความจำเป็นและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะรักษาชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของตน ด้วยการไม่ยินยอมให้คณะทหารที่ยึดอำนาจอย่างกบฏจับกุมและทำร้ายด้วยข้ออ้างเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือข้ออ้างใดๆ
ตลอดเวลา ๒๐ ปีที่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้พยายามปฏิบัติงานอย่างสุดความสามารถตามหน้าที่โดยไม่ละเว้น (เช่น ผมแทบจะไม่เคยขาดการสอนเลย) ทั้งยังได้พยายามปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองที่ดีของประเทศ และสมาชิกที่ดีของประชาคมธรรมศาสตร์ แต่ในภาวะการณ์ที่มีผู้ทำผิดกฎหมายร้ายแรง ตั้งตนเป็นผู้ปกครองประเทศและหัวหน้าระบบราชการอย่างผิดกฎหมาย แล้วอ้างอำนาจที่ตัวเองไม่มีอยู่ มุ่งจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และอิสรภาพของผมโดยตรงเช่นนี้ ผมถือเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ในฐานะข้าราชการ ในฐานะพลเมือง และสมาชิกของประชาคมธรรมศาสตร์ ที่จะไม่ปฏิบัติตาม และต่อต้าน ปฏิเสธการพยายามจับกุมคุมขังและทำร้ายผมของพวกเขาดังกล่าว
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ข่าวลับกรองแล้ว 24กุมภาพันธ์2558 "คดีการวัง"หนักกว่า"คดีการเมือง"
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.) http://thaiscandemo.blogspot.com/
๐๐๐ข่าวราชสำนัก๐๐๐
*คนไทยจะได้หน้าหรือจะได้บ้ากันอีกแล้ว,จากเดิม5ปีติดต่อกันที่นิตยสารForbสำรวจว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก,มาถึงปีนี้เวปไซต์ดังชื่อRichest Lifestyle ยังประกาศยืนยันอีกในปีนี้ว่าท่านภูมิพลยังรวยเป็นอันดับหนึ่งของกษัตริย์ทั้งโลกที่มีอยู่26ราชวงศ์แต่ถ้าเอาประธานาธิบดีในฐานะประมุขรัฐทั้งโลกมากกว่า200ประเทศมาเปรียบแล้วภูมิพลก็ยังอยู่ในตำแหน่งที่น่าพอใจเพราะยังเป็นประมุขรัฐที่รวยเป็นอันดับ2ของโลก(ประกาศเผยแพร่เมื่อ9กพ.58)
*สปท.เสนอให้คสช.ไปลากคอไอ้ฝรั่งเจ้าของเวปไซด์Richest Lifestyleมายัดข้อหา112ด่วนเพราะมันมีเจตนาชัดที่จะล้มเจ้าเพราะมันยังบอกด้วยว่ากษัตริย์ภูมิพลมีหุ้นอยู่ในบริษัทอะไรบ้างเช่นปูนซีเมนต์ไทยและธนาคารไทยพาณิชย์และยังลงข้อความถากถางด้วยว่าแม้จะรวยที่สุดในโลกแต่ชอบพูดเรื่องพอเพียง555
*จับตาดูศูนย์กลางอำนาจเป็นผักไปหรือยังหลังจากไม่ปรากฎโฉมมา2เดือนกว่าจนเมื่อ2กุมภาเกิดแถลงการณ์เจ้าปัญหาฉบับที่13ที่ว่ามือจับปากกาเซนต์ชื่อไม่ได้แล้วแต่คสช.บอกว่าเป็นแถลงการณ์ปลอมแต่ก็ไม่ยอมบอกอาการจริงว่าภูมิพลเป็นอย่างไร...นับแต่นี้ไปจนถึง2เมษาวันเกิดเจ้พุงโลขาถ่างถ้ายังไม่มีภาพสดๆภูมิพลคู่กับลูกสาวในงานฉลองแซยิด60ปีเพื่อถ่ายกำลังภายในก็หมายถึงภูมิพลนิ่งสนิทแต่ยังไม่เน่าสนิทเพราะติดไฟเลี้ยงหัวใจอยู่แต่ปลดปลัคเมื่อไรก็ไปทันที...แต่ต้องระวังดีๆอาจจะมีภาพเก่ารีทัชคู่กับเทพขาถ่างออกมาวางตลาดเพื่อทำโปรโมชั่น
*ข่าววงในศิริราชหมอทั้งหลายตอนนี้ปิดปากเงียบเกี่ยวกับอาการภูมิพลซึ่งผิดจากแต่ก่อนที่โม้กันตลอดว่าพระอาการดีดีดี...ความเงียบก็บอกความจริงได้เหมือนกัน
*เพื่อให้แกนนำเสื้อแดงทั้งหลายหายมึนจากการหลอกตัวเองสักทีว่าความขัดแย้งในวังจบแล้วอย่าพูดถึงกันเลยเพราะพี่น้องเขาตกลงกันได้แล้ว...สปท.ก็สงสัยจริงๆเพราะถ้าหากน้องสาวยอมให้พี่ชายเป็นรัชกาลที่10แน่นอนน้องก็ต้องอ่อนถอยลงบ้างแต่ทุกวันนี้น้องเทพถ่างกลับยิ่งรุกหนักขึ้นออกหาเสียงเป็นประจำล่าสุดออกโชว์ตัวเดินเยาวราชรับของกำนันเก็บคะแนนเต็มพุงกลับวังในงานวันตรุษจีน...แต่ถ้ายังจะตีความเป็นอื่นก็ให้ดูตอนปลายร.2ก่อนตายเจ้าฟ้ามงกุฎที่มีฐานะจะได้เป็นกษัตริย์ต่อยังต้องเจียมตัวยอมถอยล่นไปบวชเพื่อไม่ให้ขัดตาพี่ชายที่เป็นลูกเมียน้อยที่จะขึ้นเป็นรัชกาลที่3แล้วตัวจึงได้เป็นรัชการที่4...แต่ดูวันนี้เทพขาถ่างไม่ยอมถอยห่างออกจากรัชการที่10แน่
*กองเชียร์เทพขาถ่างตัวสำคัญสปท.จะค่อยๆเปิดให้ได้รู้ทีละคน...เจ้าบ่างเปรมเป็นประธานใหญ่มีสุรยุทธ จุลานนท์เป็นรองประธานนั้นรู้กันแล้วแต่วันนี้ขอเปิดคนสำคัญอีกสักคนชื่อเล่น"ไอ้ปั้น"ชื่อจริงเต็มๆคือ"บัณฑูรย์ ล่ำซำ"บอสส์ใหญ่กสิกรไทยผลงานที่ประจักษ์ก็คือเป็นเจ้าภาพใหญ่จัดงานบูชาเทพตัดไม้ข่มนามให้เทพถ่างสร้างคะแนนเพื่อชิงแช้มกษัตริย์ใหม่ที่จังหวัดน่านและจะเดินหน้าต่อที่ภาคอิสานอีก...บอกกล่าวมาเพื่อให้ไอ้ปั้นสำรวจเงาหัวตัวเองว่าจะคุ้มค่ากับผลประโยชน์ที่จะได้ใหมถ้าเทพถ่างได้ขึ้นเป็นรัชกาลที่10
๐๐๐ข่าวข้างราชสำนัก๐๐๐
*ฟันธงองค์คณะศาลฎีกา9คนที่จะเลือกมาพิจารณาคดีนายกปูไม่ต้องรอถึง19มีนาฟังผลเพราะทารกเกิดใหม่พูดไม่ได้ก็ยังร้องว่า"เอาแน่...เอาแน่"และไม่ต้องรอฟังผลคำตัดสินก็รู้ว่า"มันฟันปูติดคุกแน่"เพราะวันนี้ศาลก็กลายเป็น"ศาลยุติธรรมตามสั่ง"ของวังแล้ว
*"คดีการวัง"หนักกว่าคดีการเมืองดูตัวอย่างเรื่องพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาสอบสวนกลาง,ผบ.ตร.แถลงจับเมื่อ25พย.แต่แค่สองเดือนเศษ"ศาลยุติธรรมตามสั่ง"ตัดสินคดีลงโทษจำคุกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดเรียบร้อยแล้ว
*สปท.ยืนยันว่าคดีของนายกฯปูไม่ใช่คดีการเมืองแต่เป็น"คดีการวัง"จึงต้องจัดการพังให้เรียบร้อยก่อนการเลือกตั้งยิ่งอเมริกาเร่งให้เลือกตั้งไวๆศาลก็ต้องเร่งตัดสินให้ไวเพื่อปูจะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นนายกอีกไม่ว่ากรณีใดๆ
*ถ้าอยากจะรู้ว่าเจ้พุงโลขาถ่างเกลียดสาวปูอย่างไรก็ขอให้จับตาดูคนใกล้ชิดที่รับอารมมาถ่ายทอดต้องดูที่ไอ้หม่อมเจ้าลามก"จุลเจิม"ที่ทำตัวเหมือนโฆษกประจำพระองค์ที่คอยไล่กัดนายกยิ่งลักษณ์เป็นประจำ...คงจำได้ตอนสาวปูเป็นนายกฯบริหารประเทศอยู่ดีๆมันก็ออกมาให้สัมภาษว่า"สมเด็จพระเทพจะไปสร้างกระท่อมอยู่เชียงใหม่เพราะเขาจะไล่ท่านออกจากวัง"...ล่าสุดสาวปูถูกทหารค้นรถที่เชียงใหม่มันยังออกมาไล่กัดสารวัตรหนุ่ยตำรวจติดตามว่ากินเงินเดือนใคร?"
*แต่แปลกที่ไอ้หม่อมจุลเจิมดันไถลไปกัดพระธรรมชัยโยแห่งธรรมกายประสานเขี้ยวกับ"พุทไถอิสระณ.กปปส."ได้อย่างไร...เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาคาใจว่าทำไมคนในราชสำนักจึงออกไล่กำจัดทั้งคนทั้งพระที่ประชาชนนิยมเลื่อมใส...งานนี้จับตาดูไปเถอะยาวแน่ๆ
*การกำจัดยิ่งลักษณ์เชื่อได้ว่าเอาทั้งติดคุกและยึดทรัพย์"ศาลยุติธรรมตามสั่ง"ก็จะทำเหมือนกับที่ทำกับทักษิณ...ก็เหมือนกับการปราบดาภิเษกในสมัยโบราณที่ต้องริบทรัพย์และตัดหัวอำมาตย์ใหญ่ที่แม้จะมีบุญคุณต่อแผ่นดินแต่ดูหน้าแล้วไม่ถูกโฉลกดังการสั่งประหารพระยาพิชัยดาบหักเพื่อนรักคนสนิทพระเจ้าตากสิน
*เมื่อศาลยุติธรรมกลายเป็น"ศาลยุติธรรมตามสั่ง"กระบวนการยุติธรรมก็กลายเป็น"กระบวนการยุติธรรมตามสั่ง"คือแล้วแต่เบื้องบนจะเอาอย่างไรตำรวจอัยการศาลก็จะว่าไปตามนั้น...ข่าวล่าสุดนายบุญธรรม บุญเทพประทาน หรือป๋าชื่น(คนดังย่านพระราม9ผู้ดูแลหม่อมศรีรัศมิ์ที่เคยประกอบอาชีพย่านนั้นก่อนจะเข้าวัง)ถูกจับคดีบุกรุกป่าอุทยานแห่งชาติเขาเทพประทานบ้านชุมทองอำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมาแต่ถูกพ่วงคดี112เข้าไปด้วยเพราะในฐานะคนใกล้ชิดพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์โดยเอาชื่อหม่อมศรีรัศมิ์ไปอ้างเพื่อรวบรวมที่ดินสร้างรีสอร์ตเป็นพันไร่ประชาชนระแวกนั้นต่างยอมขายที่ดินให้เพราะหลงเชื่อเนื่องจากหม่อมก็เสด็จไปดูที่หลายครั้งแต่แทนที่หม่อมศรีรัศมิ์ควรจะต้องถูกจับเป็นผู้ต้องหาด้วยแต่ป๋าชื่นกลับโดนคนเดียว...นี่ละคือ"กระบวนยุติธรรมตามสั่ง"
*จะบอกว่าหม่อมศรีรัศมิ์อินโนเซ้นแต่พฤติเหตุนั้นเธอไม่ใช่เพราะในระหว่างที่หม่อมดำรงฐานันดรเป็นนางฟ้าก็เป็นที่เลื่องลือรู้กันทั่วว่าหม่อมตระเวณออกซื้อที่ดินมากมายหลายพื้นที่
*กระบวนยุติธรรมตามสั่งใช่ว่าพึ่งมีก็หาไม่เพราะเนื้อในระบบยุติธรรมไทยเป็นเช่นนี้มานานแล้วโดยเฉพาะคนในวังและที่แสดงตัวเป็นผู้รับใช้ใต้พระบาททุกชาติไปมักจะใช้สิทธิพิเศษไปจับที่ภูเขาและครอบลำธารออกโฉนดกันทั่วบ้านทั่วเมืองไม่่ใช่เรื่องที่ป๋าชื่นณ.พระราม9ทำอยู่คนเดียวก็หาไม่...ไม่เชื่อก็ลองขับรถขึ้นเชียงดาวแล้วแวะเข้าไปที่รีสอร์ตเชียงดาวฮิลล์ที่อยู่ริมทางขวามือก็จะเห็นการครอบครองภูเขาและลำธารพร้อมด้วยรูปภาพเจ้าของนั่งหมอบข้างเทพขาถ่างและอึ่งอ่างพันธุ์ผสมเหมือนทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงและในทุกรีสอร์ตที่ผิดกฎหมายทั่วไทยแต่สวยงามก็จะเป็นเช่นนี้ทั้งนั้นนั้นๆ
*แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าแต่ดูท่าไอ้ยุทธ์เหล่จะทำเท่ห์เป็นนายกได้ไม่นานเหมือนอย่างที่มันหวังเพราะมันจะพังก่อนเพราะปัญญาอ่อนเกินมาตรฐานการเป็นนายกมากจริงๆ//จบ
วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ตาสว่างที่ 6:งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก
10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่6:งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก
งบประมาณแผ่นดินเก็บจากภาษีประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมปัจจุบันมี2,000,000ล้านบาทเศษ (ส่วนใหญ่เก็บภาษีไม่ได้เท่าจำนวนงบประมาณที่ตั้งเราเรียกว่าเป็นงบประมาณขาดดุลส่วนที่ขาดจะต้องกู้มาเพิ่ม) โดยแบ่งเป็นเป็นค่าใช้จ่ายงบเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการและลูกจ้างสูงมากที่สุดกว่า50% (หลักการจัดงบประมาณถือว่าไม่ถูกต้องแต่ระบบราชการไทยเป็นของกษัตริย์มีอำนาจเหนือรัฐบาลโดยเฉพาะข้าราชการทหารดังนั้นรัฐบาลใหนก็ไม่กล้าไปลดขนาดจำนวนข้าราชการและปรับปรุงประสิทธิภาพให้คุ้มกับเงินเดือนเพราะจะเกิดการต่อต้านแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารดังเช่นรัฐบาลทักษิณ),งบชำระหนี้เงินกู้ประมาณ25% ที่เป็นงบของกษัตริย์ประมาณ10% (ประมาณ200,000ล้านบาทเศษ)ที่เหลือ15%ทำทานให้ประชาชนกินด้วยเหตุนี้วังจึงต่อต้านนโยบายรัฐสวัสดิการหรือนโยบายประชานิยมรวมถึงนโยบายจำนำข้าวของทักษิณแต่เน้นให้ส่งเสริมเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงก็เพื่อจะได้ไม่ให้กระทบกับห่อเงินงบประมาณของวังในแต่ละปีโดยไม่สนใจว่าคนยากจนจะทุกข์ยากลำบากไม่มีโอกาสในการที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตและประเทศชาติจะล้าหลังการพัฒนา
ค่าใช้จ่ายในราชสำนักทั้งหมดเริ่มตั้งแต่เงินเดือนของกษัตริย์พระราชินี,พระบรมวงศานุวงศ์และเงินเดือนข้าราชการที่รับใช้ในวังทั้งหมดรวมทั้งที่ใช้เลี้ยงหมา,ค่าไฟฟ้าน้ำประปาและค่าใช้จ่ายในการแปรพระราชฐานรวมทั้งค่าใช้จ่ายงานศพของคนในพระราชวงศ์ล้วนใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนและเป็นงบที่สมาชิกรัฐสภาห้ามอภิปรายและปปช.ห้ามตรวจสอบ,ปัญญาชนคนใหนที่บอกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายของกษัตริย์ถูกกว่าและโปร่งใสกว่างบค่าใช้จ่ายของประธานาธิบดีก็มาดูรายละเอียดกัน
1.งบประมาณของสำนักพระราชวังโดยตรง6,000ล้านบาทเศษ(โดยไม่รวมงบแฝง)
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของราชสำนักที่เป็นเงินเดือนของกษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์และขี้ข้าในวังทั้งหมดที่ทุกรัฐบาลต้องจัดตั้งให้ที่ปรากฎในพระราชบัญัญัติงบประมาณประจำปีในหมวดสำนักพระราชวังอยู่ที่6,000กว่าล้านบาท(ในที่นี้ขอเสนอตัวเลขกลมๆรายละเอียดของเศษหาดูได้ในตัวร่างพ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน)ซึ่งเท่ากับงบประมาณของกระทรวงขนาดกลางเช่นพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมโดยสำนักงานพระราชวังนำไปบริหารเอง(แต่ความเป็นจริงงบค่าน้ำค่าไฟที่ตั้งไว้ก็ไม่จ่ายให้แก่หน่วยงานการไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวงโดยติดหนี้ไว้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจก็ไม่กล้าทวง,ซึ่งไม่รวมถึงค่าไฟฟ้าที่ฟระดับประดาอยู่รอบวังและที่ใช้ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา)
2.งบประมาณส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์20,000ล้านบาทเศษ
เป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ในทุกกระทรวงทบวงกรมโดยปรากฎในพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินในชื่อเดียวกันคือ"ส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์"รวมทุกกระทรวงแล้วประมาณ20,000ล้านบาทเศษ,งบส่วนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของราชสำนักเป็น2ส่วนดังนี้
2.1ตามโครงการประจำปีที่กำหนดไว้
ในแต่ละกระทรวงทุกหน่วยงานจะกำหนดงานส่วนนี้ไว้โดยถือเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกกระทรวงทบวงกรมต้องทำ(คล้ายกับงบประมาณต่อต้านโรคเอดส์ในอดีตที่ทุกหน่วยงานต้องตั้งไว้)เช่นป้ายและซุ้มโฆษณากษัตริย์และครอบครัวทั้งหมดทุกพระองค์ที่กระทรวงสาธารณสุข,กระทรวงมหาดไทย(เช่นกรมการปกครอง,กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น,เทศบาล,อบต.,อบจ.),กระทรวงคมนาคม(โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท)รวมถึงเงินที่ใช้เป็นค่ารถค่าอาหารและเบี้ยเลี้ยงประชาชนที่มหาดไทยสั่งให้นำคนเข้าไปกรุงเทพเพื่อร่วมในงานเฉลิมพระชนม์พรรษาของกษัตริย์หรือราชินี
2.2ตามพระราชประสงค์แล้วแต่พระราชดำริ
หากพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์นึกอยากจะทำอะไรขึ้นมาในเวลานั้นๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายตัวอย่างที่เป็นจริงเช่นเมื่อคืนราชินีเกิดทรงพระสุบิน(ฝัน)ถึงบูรพมหากษัตริย์ในรัชสมัยอยุธยาเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรับสั่งว่าอยากจะเสด็จไปบูชาบูรพมหากษัตริย์ที่ทุ่งมะขามหย่องจังหวัดอยุธยาก็จะต้องมีการจัดงานรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ์ด้วยเงินภาษีอากรของประชาชนโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแม่งานจัดจ้างบริษัทเอกชนฟาร์มช้างอยุธยานำช้างมาทาสีเป็นช้างเผือกและบริษัทจัดงานจ้างนักร้องที่พระองค์ทรงโปรดมาขับกล่อมและจ่ายเงินให้กำนันผู้ใหญ่บ้านนำลูกบ้านมาต้อนรับเป็นต้น
งบประมาณในส่วนนี้กระทรวงกลาโหมจะเป็นเจ้าภาพใหญ่โดยตั้งงบประมาณลอยไว้ทั้งในสำนักงานปลัดกระทรวง,กองทัพบก,กองทัพเรือ,กองทัพอากาศรวมถึงหน่วยงานเสณาธิการในทุกกองทัพแม้แต่ในภาวะที่กษัตริย์และราชินีป่วยนอนอยู่ในห้องไอซียูโรงพยาบาลศิริราชงบประมาณส่วนนี้ก็ไม่ลดลงและเมื่อสิ้นปีเงินส่วนนี้เหลือก็จัดแปลงโครงการตามใจชอบของหัวหน้าส่วนราชการเช่นพาข้ารชการแต่ละส่วนงานไปเที่ยวต่างประเทศภายใต้ชื่อว่าเป็นการดูงานต่างๆหรือนำไปใช้อะไรก็ได้โดยมักจะมีคำว่า"เฉลิมพระเกียรติ์"เข้าไปด้วย
3.งบประมาณส่งเสริมแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง100,000ล้านบาทเศษ
กำหนดเป็นแผนประจำปีในส่วนงานที่เกียวข้องโดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเกษตร,กระทรวงกลาโหมซึ่งถือเป็นงบโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่งเพื่อสร้างภาพว่ากษัตริย์มีความห่วงใยต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งๆเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นโครงการที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเพราะดำเนินการมานานกว่า20ปีแล้วแต่ประชาชนไม่เอาด้วยเริ่มตั้งแต่เอาเงินไปให้เปล่าแก่กำนันผู้ใหญ่บ้านทำสวนเกษตรเป็นต้นแบบรายละ50,000บาทและให้เงินเป็นเงินกู้แก่ประชาชนไปขุดบ่อน้ำเลี้ยงสัตว์แต่ก็ล้มเหลวเพราะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงในสังคมบริโภคสมัยใหม่ที่ประชาชนและพระราชวงศ์ก็ต่างต้องการชีวิตที่สะดวกสะบายด้วยเครื่องไฟฟ้าและห้องแอร์คอนดิชั่นและโทรศัพท์มือถือและการซื้อสินค้าจากตลาดแต่ปรากฎว่าในปีนี้รัฐบาลคสช.พลเอกประยุทธ์ก็สั่งการไปยังสำนักงบประมาณและเจ้ากระทรวงสำคัญที่ล้วนแล้วแต่ทหารนั่งเป็นรัฐมนตรีให้เน้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อเอาใจกษัตริย์และเพื่อแสดงต่อประชาชนว่าเป็นรัฐบาลของกษัตริย์เพราะคำว่า"เศรษฐกิจพอเพียง"เป็นแบรนด์สำคัญของกษัตริย์ภูมิพลไปแล้วโดยเพิ่มงบเป็นพิเศษเกือบ200,000ล้านบาท(ถ้าโครงการเศรษฐกิจพอเพียงดีจริงทำมานานกว่า20ปีแล้วทำไมต้องเพิ่มงบขึ้นเรื่อยๆ?และทำไมต้องประกาศหาผู้กล้าเหมือนจะต้องเสี่ยงไปออกรบ?)เช่นโครงการ"คนกล้าคืนถิ่น"ที่ประกาศรับสมัคร14กพ.ถึง9มีค.58โดยจะจัดที่ดินให้ผู้สมัครรายละ2-3ไร่และให้เงินทุนจำนวนหนึ่งไปทำบ่อเลี้ยงปลาปลูกข้าวและผักสวนครัวกินเองโดยไม่ต้องไปตลาดซึ่งก็เชื่อได้ว่าผลลัพธ์ก็จะล้มเหลวเหมือนที่เป็นมา,ขอบอกล่วงหน้าว่าเราจะเห็นความสำเร็จเพียงแค่การจัดงานโชว์เริ่มต้นโครงการโดยมีประชาชนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนายอำเภอเกณฑ์มาแสดงลครต้อนรับให้นายกฯถ่ายรูปในวันเปิดโครงการเท่านั้น
4.งบประมาณส่งเสริม"โครงการพระราชดำริ"2,000กว่าโครงการปีละ100,000ล้านบาทเศษ
เป็นงบโฆษณาชวนเชื่อของเจ้าอีกรูปแบบหนึ่งที่บอกกับสังคมว่ากษัตริย์มีความคิดดีแต่เนื้อแท้เป็นช่องทางทำมาหากินของพระบรมวงศานุวงศ์และราชนิกูลที่ทำโครงการแต่ใช้ชื่อกษัตริย์มาแป๊ะและหาอยู่หากินกันระยะยาวเลี้ยงตัวเองและบริวารแต่ใช้เงินภาษีประชาชนตั้งแต่ทำอ่างเก็บน้ำบ้านพักและพระราชวังเพื่อกษัตริย์และลูกหลานจะแปรพระราชฐาน(ไปเที่ยว)ไปดูงานแก้เหงาเช่นกิจการปลูกผักดอกไม้,ผลไม้เมืองหนาวบนภูเขา,แปรรูปผลผลิตทำข้าวเกรียบหัวผักกาดขาย,งบประมาณนี้ส่วนใหญ่ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์,กระทรวงเกษตรและกระทรวงอุตสาหกรรมโดยมีหัวหน้าโครงการที่ส่วนใหญ่เป็นพวกเชื้อพระวงศ์โดยมีเงินเดือนกิน และหลายโครงการเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่ใช้เงินภาษีไปสนับสนุนแต่เมื่อทำมาค้าขายได้กลับเป็นรายได้ส่วนตัวเช่นโครงการศิลปาชีพ,โครงการดอยคำ,โครงการภูฟ้าเป็นต้นซึ่งเราจะเห็นร้านค้าและสินค้าต่างๆวางขายโดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ,สนามบินดอนเมืองและในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานบางส่วนด้วยเหตุผลและข้ออ้างที่หลอกลวงประชาชนว่าเป็นการทำเพื่อประชาชนในพื้นที่ที่ราบสูงและเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ(ถ้าราชสำนักมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงก็ควรจะเลี้ยงตัวเองได้แล้วเพราะใช้งบสนับสนุนมานานแล้วแต่ทุกวันนี้ยังต้องตั้งงบประมาณสนับสนุนทุกปี)
5.งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ในกระทรวงต่างๆโดยไม่ระบุจำนวนและไม่ระบุโครงการ
งบประมาณส่วนนี้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงและอธิบดีที่จะต้องจัดสรรเจียดเงินจากงบประมาณปกติที่จะต้องบริการประชาชนไปสนับสนุนเช่นการซ่อมแซมพระราชวังในจังหวัดต่างๆหรือปรับปรุงเส้นทางและค่าเบี้ยงเลี้ยงเจ้าหน้าในการเข้าเวรเฝ้ารักษาความปลอดภัยเนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์มีหมายกำหนดการจะเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นกรณีพิเศษโดยมิใช่เป็นแผนงานประจำปี
6.งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ใน"งบกลาง"ของสำนักนายกฯไม่ระบุจำนวน
งบกลางของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นงบฉุกเฉินโดยหลักการจะนำไปใช้ในส่วนของภัยสาธารณะต่างๆที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยมิต้องระบุรายละเอียดโครงการทำงานไว้ล่วงหน้าเหมือนงบอื่นๆที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.งบประมาณซึ่งทุกครั้งงบกลางนี้จะถูกอภิปรายจากสภาอย่างหนักที่สุดเพราะเป็นงบลอยที่ง่ายต่อการทุจริต(รัฐบาลถูกด่าแต่เจ้าใช้เงินโดยไม่มีใครรู้)ซึ่งก่อนหน้าทักษิณเป็นนายกฯตั้งไว้50,000ล้านบาทแต่นับตั้งแต่ทักษิณเป็นนายกฯเป็นต้นมางบนี้ก็เพิ่มเป็น100,000ล้านบาทและเมื่อประยุทธ์เป็นนายกฯได้เพิ่มเป็น300,000กว่าล้านบาท
งบกลางนี้รัฐมนตรีทุกคนรู้ว่าเป็นงบประมาณที่สำนักพระราชวังแฝงไว้สามารถหยิบใช้ได้เช่นงานจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชประสงค์เป็นเงินก้อนใหญ่หรือในส่วนที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องซื้อของชิ้นใหญ่ๆถวายเพื่อเอาใจเช่นซื้อเครื่องบินส่วนพระองค์หรือรถยนต์ที่พระองค์ทรงชื่นชมหรือในโอกาสที่พระองค์เอ่ยปากชอบรถยนต์ที่นายกฯใช้อยู่นายกฯที่รู้งานก็จะรีบเอาเงินส่วนนี้ซื้อถวาย
วิธีการเอาเงินงบกลางออกไปใช้ตามพระราชประสงค์ก็จะไม่เปิดเผยและไม่ให้เกิดข้อครหานินทาหรือไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้เป็นเงินก้อนใหญ่สำนักพระราชวังก็จะประสานกับปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการภายในเป็นความลับแล้วเลขาฯก็จะกระซิบบอกนายกให้ทราบโดยมีวิธีการปล้นเงินภาษีประชาชน3ขั้นตอนดังนี้
1)ทุกวันอังคารจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีและวันศุกร์หรืออย่างช้าเย็นวันจันทร์เจ้าหน้าที่จะนำเอกสารประกอบการประชุมไปให้รัฐมนตรีทุกคนแต่กรณีการขอ(หรือปล้น)งบกลางของราชสำนักจะไม่ยื่นเอกสารหรือแจ้งให้ทราบในวาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่จะไปยื่นให้ตอนเช้าวันที่ประชุมที่มีศัพท์เรียกว่า"วาระจร"
2)พอถึง9โมงเช้าวันอังคารครม.เข้านั่งห้องประชุมนายกฯนั่งเป็นประธานการประชุมเลขาฯครม.จะจัดเจ้าหน้าที่มา6คนโดยถือและคุมเอกสารของราชสำนักเป็นความลับโดยเจ้าหน้าที่ 1คนคุมเอกสารให้รัฐมนตรี 6คนดู(ครม.มี36คน,6คูณ6=36)
3)รัฐมนตรีส่วนใหญ่ยังไม่ทันเปิดดูเอกสารที่เรียกว่าวาระจรนี้นายกฯก็จะพูดใส่ไมโครโฟนว่า"สำนักพระราชวังเสนอมาขออนุมัตินะคะ(หรือนะครับถ้านายกเป็นผู้ชาย)แล้วครม.ก็จะต้องอนุมัติ
*ค่าใช้จ่ายอื่นๆเพื่อราชสำนักที่แฝงอยู่ในงานราชการอื่นๆนอกจากนี้มิได้รวมค่าใช้จ่ายไว้ในค่าใช้จ่ายเพื่อพระมหากษัตริย์ที่ปรากฎข้างต้นเช่นกระทรวงการคลังออกโครงการธนบัตรที่ระลึกใบละ60บาทออกขายให้ประชาชนเป็นระยะๆแล้วนำเงินถวายครั้งละประมาณ1,000ล้านบาท,การโฆษณาข่าวของราชสำนักเป็นกรณีพิเศษตอน2ทุ่มของทุกช่องโทรทัศน์ทุกวันซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุดซึ่งหากตีราคาเป็นค่าเช่าเวลาจะเป็นเงินมหาศาล,หรือการเปิดร้านที่ใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในสนามบินสุวรรณภูมิแต่กลับไม่จ่ายค่าเช่า,หรือการรับเงินและสิ่งของบริจาคต่างๆโดยไม่ต้องเสียภาษีรวมทั้งพระราชวังทั่วประเทศไม่ได้เสียภาษีโรงเรือนก็จะเห็นว่าประชาชนต้องแบกรับภาระที่หนักอึ้งทั้งหมดนี้แทนกษัตริย์และราชวงศ์ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นธรรมแต่ยังเป็นการลงทุนของรัฐที่ไม่เกิดผลประโยชน์กับประชาชนเลยอีกทั้งพระองค์ยังใช้อำนาจจับประชาชนที่ล่วงรู้ความไม่ถูกต้องหรือเพียงแค่สงสัยตั้งคำถามเข้าคุกโดยใช้กฎหมายพิเศษก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง,ดังนั้นหากจะเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองเป็นระบอบประธานาธิบดีงบประมาณต่างๆสูญเปล่าเหล่านี้ก็จะถูกนำกลับมารับใช้ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนอย่างในสหรัฐอเมริกาเงินงบประมาณจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพตรวจสอบได้ดังนั้นคุณภาพชีวิตของประชาชนจะดีขึ้นทันตาเห็น
*งบประมาณที่กษัตริย์นำไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งหมดนี้ทั้งก่อนและหลังการพิจารณางบประมาณในสภาทั้งสส.และสว.ห้ามอภิปรายทั้งในสภาและนอกสภา
*ถ้าท่านผู้อ่านจะสงสัยและถามว่าก็ในเมื่อเป็นความไม่ถูกต้องและเป็นความจริงเช่นนี้ทำไมไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะกล้าพูด?,คำตอบก็คือใครพูดก็คอขาดโดยจะมีคนไปแจ้งความจับในข้อหาพูดเท็จใส่ร้ายในหลวงมาตรา112และผู้ต้องหาก็ไม่มีโอกาสพิสูจน์ในศาลและไม่มีโอกาสได้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดีด้วยและหัวหน้าพรรคหรือรัฐมนตรีในกระทรวงใดก็ไม่กล้าไปให้การว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริงเพราะทุกคนที่จะไปยืนยันข้อมูลก็จะเจอข้อหาตามมาและหมดความเจริญเติบโตในชีวิต,ดูตัวอย่างของจริงที่พลตำรวจโทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ผู้บัญชาสอบสวนกลางและพรรคพวกเป็นตัวอย่างที่เก็บส่วยหาเงินเลี้ยงเจ้าแท้ๆเมื่อถูกจับยังต้องปิดปากเงียบต้องสารภาพไม่อาจสู้คดีได้และทรัพย์สินทั้งหมดถูกรวบรวมออกขายทอดตลาดทั้งหมดทันทีอย่างรวดเร็วเพราะหากสู้คดีอาจจะเกิดกรณีจำเลยในคดีกระโดดตึกตายและส่งเข้าเมรุเผาทันทีไม่ต้องพิสูจน์ศพและพระไม่ต้องสวดบังสกุล
*ในโครงสร้างเผด็จการของกษัตริย์เช่นนี้ก็จะเห็นชัดว่าประชาชนต้องสูญเสียเงินภาษีเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อให้แก่กษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นจำนวนมากแต่เงินเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายความสงบของสังคมด้วยการก่อจราจลล้มทุกรัฐบาลที่มีความมั่นคงเพราะปรัชญาการปกครองของกษัตริย์ไทยคือ"สถาบันกษัตริย์จะมั่นคงได้รัฐบาลของประชาชนต้องไม่มั่นคง"
คนไทยที่ยากจนอยู่แล้วกลับต้องยิ่งยากจนขึ้น,ทั้งที่เสียภาษีอย่างหนักอยู่แล้วแต่ภาษีกลับเป็นภัยย้อนมาหาตัวเองในรูปของความปั่นป่วนของสังคม
-------------------------------------
Link ตอนที่ผ่านมา
ตาสว่าง1. รัชกาลที่9 ฆ่าพี่ชายคือจุดเริ่มต้นระบอบราชาธิปไตยใหม่
ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี
ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์: ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์
ตาสว่างที่4: เลขากษัตริย์คือซุปเปอร์ปลัดกระทรวง
ตาสว่างที่5: ทำไมประชาชนไทยยากจนแต่กษัตริย์ไทยรวยที่สุดในโลก?และทำไมต้องพอเพียง?
วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
สหพันธรัฐสยาม คืนจารีตและประวัติศาสตร์ให้ท้องถิ่น
16
กุมภาพันธ์ 2558
ข้อเสนอของผู้เขียนและคณะในเรื่อง
สหพันธรัฐสยาม (ทางเลือกรัฐสยามหลังเผด็จการ ข้อเสนอเพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน, มกราคม
2558) ได้รับปฏิกิริยาและคำถามค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ และตอกย้ำว่า
ข้อเสนอดังกล่าวเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับรูปธรรมในปัจจุบันและอนาคต
ครั้งนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำว่า
ข้อเสนอดังกล่าวมิใช่ฝันกลางวันที่เลื่อนลอย แต่เกิดจากการศึกษาข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์สยามที่บ่งชี้ชัดแล้วว่า
ก่อนการสร้างอำนาจรัฐแบบ”มณฑล”(Mandala Cosmology) ตามคติฮินดูและพุทธของอินเดีย
และ รัฐชาติเดี่ยวรวมศูนย์แบบตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา
สังคมสยามได้มีรูปแบบการปกครองทั้ง สมาพันธรัฐ หรือ สหพันธรัฐ ปะปนมานานนับพันปี
สำหรับนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ที่ทำการค้นคว้าประวัติศาสตร์ของรัฐในภูมิภาคอุษาคเนย์(Southeast Asia) ได้มีฉันทามติแล้วว่า ก่อนการเข้ามาของรูปแบบอำนาจรัฐจากอินเดียนั้น
มีรูปแบบรัฐ 3 แบบที่ตั้งมั่นอยู่ในอุษาคเนย์มายาวนานแล้ว ได้แก่
- นครรัฐบนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำในหุบเขา(agrarian city states along the valleys) เช่นล้านช้าง และ ล้านนา
- นครรัฐบนพื้นที่ลุ่มปากแม่น้ำ (agrarian city states
along the river deltas)เช่น ศรีทวาราวดี
- นครรัฐการค้าชายฝั่งทะเล (maritime city
states)เช่น ศรีวิชัย
รัฐทั้งสามรูปแบบข้างต้น สร้างความสัมพันธ์เชิงเครือข่าย ทั้งต่อสู้กันเอง
และ/หรือ ร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอด มายาวนาน ใกล้เคียงกับรูปแบบที่ปัจจุบันเรียกว่า
สมาพันธรัฐ อย่างชัดเจน
เมื่อนครรัฐโบราณเหล่านี้ ได้เริ่มต้นรับเอารูปแบบของการสร้างอำนาจรัฐแบบมณฑลของฮินดูและพุทธ
มาปรับใช้กระบวนการสร้างรัฐแบบรวมศูนย์อำนาจก็เกิดขึ้น เพื่อเชื่อมร้อยนครรัฐต่างๆ
โดยแกนกลางของศูนย์อำนาจส่วนกลางตามโครงสร้างจักรวาลวิทยา ที่มีราชธานีเป็นศูนย์กลาง ดึงเมืองบริวารต่างๆเข้ามาในมณฑล
อำนาจรัฐแบบมณฑลยุคแรกเริ่มในสังคมสยามตั้งแต่ครั้งศรีทวารวดี
ยังมีโครงสร้างแบบสมาพันธรัฐซึ่งเหมาะสมกับสภาพความแตกต่างทางชาติพันธุ์
การประกอบอาชีพ วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์การเมืองอย่างเหมาะสม
ในอาณาจักรล้านนา
นครรัฐบนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำในหุบเขา ได้รวมตัวกันอย่างหลวมๆในลักษณะของสมาพันธรัฐของหัวเมืองที่เป็นอิสระต่อกัน
ปรากฏชัดเจนในหัวเมืองตามแอ่งเขาต่างๆ
ข้อตกลงสร้างรัฐพันธมิตรอันโด่งดังของ 3 พ่อขุน(รามกำแหง
งำเมือง และ มังราย)สะท้อนรูปแบบของรัฐสยามครั้งโบราณที่ชัดเจน
รัฐปัตตานี เคยเป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเอง มีสายสกุลปกครองยาวนานในรูปพันธมิตรรัฐที่เจ้าครองเมืองนับถือมุสลิมมายาวนาน
เมื่อราชธานีกระชับอำนาจรวมศูนย์เข้มข้นขึ้น เพื่อควบคุมกำลังคนทำการเกษตรและการค้า
รูปแบบสมาพันธรัฐจึงถูกทำลายลง แต่การกระชับอำนาจ เข้มข้นเฉพาะแค่ทางทฤษฎีเท่านั้น
ในทางปฏิบัติ อำนาจของราชธานีเข้มข้นเฉพาะแค่ศูนย์กลาง แต่เจือจางตามระยะทางจากเขตเมืองหลวง
เกิดเป็นโครงสร้าง "รัฐแสงเทียน" (candle-light city states) ซึ่งมีส่วนผสมของระบอบสหพันธรัฐที่เป็นรูปธรรม
รัฐสยามยุคโบราณ ที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงยุคกรุงศรีอยุธยาในสมัยกษัตริย์บรมไตรโลกนาถ
รับเอารูปแบบรัฐแบบลัทธิเทวราชาของฮินดูแห่งกัมพูชามาผสมกับธรรมราชาของพุทธเพื่อรวมศูนย์อำนาจ
จำต้องปล่อยให้มีหัวเมืองเป็นหลายระดับ เป็นหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก(ต่อมาเปลี่ยนเป็นเมืองชั้นเอก
โท ตรี จัตวา) และเมืองประเทศราช
เจ้าผู้ครองเมืองประเทศราช
มีอำนาจปกครองอาณาจักรตนเต็มที่ แต่มีหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ที่ต้องส่งเครื่องบรรณาการถวายตามกำหนด และในยามศึกสงครามต้องส่งกองกำลังเข้าช่วยกองทัพราชธานี
คล้ายคลึงกับรัฐในอารักขาของจักรวรรดินิยมตะวันตก
และมีตัวอย่างมากมายที่ระบุว่า เมืองประเทศราชหลายแห่งมีสัมพันธภาพทำนองเดียวกันกับราชธานีหลายแห่งพร้อมกันในลักษณะ”นกหลายหัว”
ไม่ได้มีความภักดีต่อรัฐเดียวเบ็ดเสร็จ
นอกจากนั้น รัฐที่ตั้งตนเป็นราชธานีใหญ่ ก็ยังยอมตนเสมือนเมืองประเทศราชให้รัฐอื่นที่ใหญ่กว่า
เช่น รัฐสยามในสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการ”จิ้มก้อง”ให้กับราชสำนักจีน(ทั้งยุคหยวน
หมิง และชิง)เพื่อหวังผลทางการค้า ต่อเนื่องหลายศตวรรษ ทั้งที่ประกาศตนยิ่งใหญ่เป็นเจ้าชีวิตหรือสมมติเทพในปริมณฑลแห่งอำนาจของตน
เมืองประเทศราชหรือรัฐแสงเทียนในสยามโบราณ ได้สร้างตำนานและวัฒนธรรมของสังคมสยามที่ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์และความเชื่อ
เรื่องราวที่ส่งผ่านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ตำนานศาสนา หรือ นิทานพื้นบ้านมากมายทั้งทางตรงและทางอ้อม
เป็นประจักษ์พยานของรูปแบบรัฐท้องถิ่นโบราณอย่างลึกซึ้ง
มีหลักฐานทางมานุษยวิทยาจำนวนมาก ยืนยันว่า ราชธานีสยามโบราณ
ยังไม่ได้มีอำนาจเหนือชุมชนอิสระขนาดเล็กที่กระจัดกระจายตามภูเขา หรือ
ดินแดนอันห่างไกล (อาจจะรวมถึง ชุมโจร ในบางพื้นที่) ที่ปฏิเสธรูปแบบการครอบงำของรัฐและอารยธรรมภายนอกทุกชนิด
พร้อมสร้างพื้นที่เพื่อชีวิตตามทัศนะของพวกเขาเอง
เมื่ออำนาจรัฐสยามโบราณล่มสลายไป รัฐแสงเทียนและชุมชนอิสระเหล่านี้
ถูกกวาดต้อนเข้ามาภายใต้โครงสร้างรัฐชาติเดี่ยวแบบตะวันตก ที่ถูกออกแบบขึ้นในยุคล่าอาณานิคม
และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการเร่งกระชับอำนาจของราชธานีเดิมเพื่อสร้างรัฐสมัยใหม่ตอบโต้การคุกคามของตะวันตก
การผนวกอำนาจอย่างเข้มข้นของอำนาจส่วนกลางของรัฐสยาม(ที่เปลี่ยนมาเป็นรัฐไทยปัจจุบัน)
เริ่มตั้งแต่การปฏิรูป พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887)ภายใต้แนวคิด ”รัฐชาติเดี่ยว”
ได้ทำลายอำนาจและอิสรภาพของหัวเมืองท้องถิ่นจนหมดสิ้น กลายเป็นพื้นที่อำนาจส่วนกลางเบ็ดเสร็จ
รัฐชาติเดี่ยวสยามหลัง พ.ศ. 2430 ได้ทำลายรูปแบบสมาพันธรัฐและสหพันธรัฐแบบจารีตจนไม่เหลือหรอ
องคาพยพของรัฐ กลายสภาพเป็นเครือข่ายอำนาจของรัฐส่วนกลางราบคาบ
ไม่สามารถสนองตอบความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษา
และเจตจำนงท้องถิ่นได้แม้แต่น้อย
โครงสร้างรัฐแบบสหพันธรัฐร่วมสมัยของรัฐสยามที่ผู้เขียนและคณะนำเสนอ
จะเป็นประโยชน์และให้คำตอบที่เหมาะสมพร้อมกัน 2 ด้านเลยทีเดียวคือ 1) การจัดรูปขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในยุทธศาสตร์และยุทธวิธี 2) หลังจากขบวนการประชาธิปไตยได้รับชัยชนะแล้ว สร้างรัฐที่อำนวยให้เกิดบูรณาการของประชาธิปไตย
(ยุติธรรม เสรีภาพ เสมอภาค และกระจายอำนาจ) ได้ยั่งยืนกว่า
ในการต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ กลุ่มผู้ร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของสยาม
ยังมีความแตกต่างหรือขัดแย้งในเชิงอุดมการณ์และทฤษฎีที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ จนกระทั่งยากที่จะก่อรูปขึ้นมาเป็นองค์กรนำขนาดใหญ่ที่มีเอกภาพได้
จำเป็นต้องใช้ยุทธศาสตร์ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ” ให้มีการจัดตั้งเป็นอิสระและพึ่งตนเองของหน่วยการต่อสู้ในทุกเวที
ภายใต้สภาพที่เป็นจริงของแต่ละพื้นที่ เพื่อที่จะเรียนรู้ ยกระดับการจัดตั้งแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมและยืดหยุ่น
ผ่านการพึ่งตัวเอง
การจัดตั้งอย่างเป็นอิสระและพึ่งตัวเองในแต่ละพื้นที่
แต่ประสานกับพื้นที่ต่างๆ จะช่วยให้ขบวนการประชาธิปไตยสยาม ดำเนินการรุกทางการเมืองภายใต้สถานการณ์ที่เป็นจริง
พร้อมกับสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ในทุกด้าน(เศรษฐกิจ การชุมนุมเรียกร้อง
การระดมสมาชิก หรือสร้างแนวร่วม รวมทั้งการยกระดับจิตสำนึกของผู้เข้าร่วมขบวน)
เพื่อสร้างแนวร่วมประชาชาติประชาธิปไตย
การจัดตั้งแบบสหพันธรัฐในระหว่างการต่อสู้ จะปูทางให้เกิดสภาพของสหพันธรัฐในทางปฏิบัติ
โดยเบื้องต้นสามารถแบ่งกลุ่มอย่างหยาบๆ ได้ 6 กลุ่มดังนี้ คือ 1) ภาคเหนือตอนบน
2) ภาคเหนือตอนล่าง 3) ภาคอีสานเหนือ 4) ภาคอีสานใต้ 5) ภาคตะวันออก 6) สามจังหวัดภาคใต้
ซึ่งจะทำให้เกิดการการเชื่อมร้อยอดีตเข้ากับปัจจุบันและอนาคตอย่างแนบเนียนไร้รอยตะเข็บ
ส่วนพื้นที่อื่นเช่นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ภาคกลาง และภาคใต้ที่ไม่ใช่สามจังหวัดนั้น เนื่องจากอยู่ใกล้และอยู่ใต้อิทธิพลเข้มข้นของศูนย์อำนาจรัฐเดิมอย่างมาก
ในระหว่างการต่อสู้อาจจะไม่สามารถจัดตั้งขบวนต่อสู้ได้อย่างเปิดเผย
จึงไม่ได้ระบุถึงรูปธรรมของขบวนการที่ชัดเจน
จนกว่าเมื่อได้ชัยชนะเหนืออำนารัฐเผด็จการเดิมไปแล้ว
ก็ถือเป็นภารกิจของมวลชนในพื้นที่ดังกล่าวจะเลือกเอารูปแบบที่เหมาะสมกับพื้นที่เอง
กลุ่มจัดตั้งดังกล่าว
สามารถนำภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับมาประยุกต์ใช้อย่างมีพลัง
แสดงความเคารพต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของพลเมืองในทุกภาคส่วน เป็นการปูทางสร้างรัฐแบบเครือข่ายขึ้นมาแทนที่รัฐชาติเดี่ยว
ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของมวลชนทั่วโลกที่เรียกร้องหาการลดขนาดรัฐให้เล็กลง
สอดคล้องกับพัฒนาการของความรู้และเทคโนโลยีร่วมสมัยของโลกทุกสาขา
โครงสร้างกลุ่มจัดตั้งแบบสหพันธรัฐนี้
เมื่อพลังประชาธิปไตยมีสามารถยึดอำนาจรัฐมาได้แล้ว จะแปรเปลี่ยนเป็นโครงสร้างรัฐใหม่ที่เป็นรัฐเครือข่ายที่หลากหลาย
(อย่างน้อย
6 รูปแบบข้างต้น) ที่ถ่วงดุลกันและกัน สอดคล้องกับวิถีชีวิต
วัฒนธรรม และการจัดการเชิงอำนาจของแต่ละพื้นที่อย่างเป็นไปได้ที่สุด
รูปแบบจัดตั้งแบบสหพันธรัฐ ที่มีทั้งรัฐบาลท้องถิ่น
และรัฐบาลกลาง (ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเป็นมหาชนรัฐ) ยังสามารถตอบโจทย์สำคัญของสังคมสยามในปัจจุบัน
ที่ทหารทำตัวเป็นคนเถื่อนถืออาวุธ ทำรัฐประหารได้ตามอำเภอใจ เพราะทหารในกองทัพสหพันธรัฐ
จะถูกเงื่อนไขให้ไม่สามารถยึดอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จได้เลย จำต้องถูกแปรสภาพเป็นกองทัพรัฐบาลกลางที่มีหน้าที่หลักป้องกันประเทศเป็นสำคัญ
ไม่ใช่มีภารกิจมุ่งยึดอำนาจสร้างรัฐเผด็จการ
สหพันธรัฐ ยังสามารถช่วยให้การจัดเก็บภาษีของรัฐและการใช้จ่ายของรัฐมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เนื่องจากรัฐบาลท้องถิ่นจะมีความใกล้ชิดและตอบสนองความต้องการของกลุ่มธุรกิจเอกชนและชุมชนผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพและถ่วงดุล
ภายใต้สหพันธรัฐ จะทำให้ผู้รักประชาธิปไตยสยาม
สามารถก้าวข้ามคำถามที่วนเวียนแบบวงจรอุบาทว์ทั้งในระหว่าง และหลังการต่อสู้
เหลืออย่างเดียวเท่านั้นคือ ข้อเสนอนี้ จะกลายเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมขบวนแถวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสยามอย่างทั่วถึงหรือไม่
อ่านข่าวสารอ่านสถานการณ์:จากกอท.เสรีไทย : นสพ.ขี้เหลืองลงข่าวผบ.ทบ.แบะท่าดันประยุทธคุยทักษิณ
■อ่านว่า
1.โลกปชต.ปิดล้อมหนาแน่น,เผด็จการอำมาตย์คสช.ไปไม่รอด
2.เศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นจึงกังวลและจีนคิดค่าอุ้มคสช.แพงต้องขายชาติจึงจะอยู่ได้
3.ราคาพืชผลไม่ฟื้นจึงกลายเป็นไฟสุมขอนทหารถอนตัวยากจะถูกไฟคลอกเหมือน14ตุลาปี16
4.ประธานอำมาตย์ใหญ่ใกล้ตายยังจัดอำนาจไม่ลงตัว,กองทัพไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือการเมืองเหมือนอยู่ในกองฟืนที่ไฟติดแล้ว,วันนี้รบกับใครก็แพ้เพราะรังแกประชาชนและกดหัวตำรวจรายวัน,ผบ.ทบ.ปวดหัวเกมส์นี้เดินต่อกองทัพจะมีศัตรูเต็มประเทศ
5.ถุงเงินประยุทธ์-ประวิทใหญ่ใส่เงินได้มาก,ผบ.ทบ.ถุงเงินเล็กใส่เงินได้น้อยขนเงินหนีไฟไม่คุ้มหาทางลงหลังพออิ่มแล้วดีกว่า
■ประเมินสถานการณ์ว่าเกมส์เจรจาฝ่ายปชต.ไม่ต้องคิดต่อเพราะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากคนกำหนดเกมส์ตัวใหญ่ไม่ใช่ประยุทธ์,เขากล้าก่อจราจลหันหลังให้ปชต.และเอาสถาบันศาลมาใช้ตัดสินคดีบ้าๆบอๆยาวนานนับ10ปีและเกิดมาเป็นเทวดาไม่เคยเจรจากับใครและทำมาหลายครั้งแล้วตระบัดสัตย์ทุกครั้ง,ทักษิณก็ไม่โง่ที่จะเชื่อ,ถ้าเชื่อก็แผ่นดินกลบหน้า
■บทบาทฝ่ายปชต.
เดินหน้าบุกต่อไม่ต้องรอฟ้าประทานเดินงานเปลี่ยนระบอบ
■ใครเห็นด้วยช่วยเสริมความเห็นและแชร์ต่อ,ขอบคุณคะ
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
17กพ.58
รายละเอียดข่าว
http://www.naew na.com/politic/144841
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ข่าวลับกรองแล้ว 14กุมภาพันธ์2558 "ร.9ไม่ไป,ร.ใหม่ไม่มาชาวประชาไม่ต้องทำมาหากิน"
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.) http://thaiscandemo.blogspot.com/
ข่าวกษัตริย์ภูมิพล
*ใครอยากรู้วิกฤติการเปลี่ยนรัชกาลเป็นอย่างไรดูกันให้เต็มตาวันนี้,ระบอบกษัตริย์เป็นเช่นนี้มานานแล้วเพียงแต่ไทยโกหกกันว่ากษัตริย์ไทยมีธรรมดั่งพระพรหมเลยงมงายไม่รู้ว่าวิกฤติบ้านเมืองยาวนานนับ10ปีเป็นเรื่องพี่กับน้องแย่งชิงราชสมบัติกัน
*เพื่อนบ้านเราระบอบกษัตริย์พังหมดแล้วส่วนที่เหลือก็เป็นเพียงสัญญลักษณ์บ้านเมืองเขาจึงบริหารด้วยคนธรรมดาไม่มีของวิเศษมาบังตาปัญหาจึงแก้ง่ายไม่ซับซ้อนเหมือนไทย
*ซากรัชกาลที่9ในห้องICUศิริราชถูกยื้อไม่ให้ไปรัชกาลใหม่ก็เกิดไม่ได้เศรษฐกิจไทยก็ติดขัดเดินไม่ได้ไม่มีใครกล้ามาลงทุนเพราะทุกคนก็ขอทนคอยไปก่อนเพราะวันนี้ใครมีเงินทุกประเทศก็อยากเชิญไปลงทุน,แม้แต่ทุนไทยยังวิ่งออกไปเมืองนอกเพราะเสี่ยงน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดก็ลาภปากเพราะญี่ปุ่นย้ายฐานผลิตรถยนต์ไปยลโฉมสาวนุ่งส่าหลีดีกว่า...คนไทยก็ทนตกงานยากจนต่อไปเพื่อให้พี่น้องแย่งราชสมบัติกันต่อไป
*ไม่มีใครลงทุนคสช.ก็ไม่ง้อขอลงเองก็ได้โดยจัดทุนลงคลองสร้างตลาดน้ำในคลองข้างทำเนียบจัด10กว่าวันแค่ถึง1มีนาแล้วเลิกกัน,มีแม่ค้าพายเรือมาขายกันเป็นแถวแต่ข่าวกรองรายงานว่าเรือทุกลำถูกขนมาทางรถยนต์จ้างแม่ค้ามาแสดงประกอบฉากตลาดน้ำเพื่อสร้างบรรยากาศแก้เซ็งโดยลูกน้องหม่อมเออกทม.หาทางใช้งบประมาณจ้างพรรคพวกมาจัดอีเว้นเอาเงินไปใช้กัน...ทหารไทยโง่ๆก็ทำได้เท่านี้แหละการลงทุน
*วันนี้งานรัฐติดขัดหมดเพราะความแตกจากแถลงการณ์ที่ถูกอ้างว่าปลอมแต่ดันบอกความจริงตรงกับรายงานของสมุหราชองครักษณ์ว่ากษัตริย์ภูมิพลจับปากกาเซนต์ชื่อไม่ได้แล้ว
*ข่าววงในการทูตวันนี้ถนนสายวังติดขัดนานนับ6เดือนไม่มีการถวายสารตราตั้งจากฑูตต่างประเทศส่วนฑูตไทยก็เดินทางไปทำงานก่อนไม่ต้องประกอบพิธีรดน้ำลงกบาลและทัดใบมะตูมที่หูเพราะคนทัดใบมะตูมหมอต้องจูนคลื่นทุกวันเพราะไม่ยอมตื่นนอน,ใครไม่เชื่อลองโทรถามเมียอดีตปลัดกระทรวงต่างประเทศนายวีรชัย พลาศรัยซิว่าที่ย้ายจากทูตเนเธอแลนด์ไปแทนนรชิต สิงหเสนี(หลานปู่ชิต สิงหเสนีที่ถูกประหารชีวิตคดีฆ่าร.8)ฑูตประจำสหประชาชาตินั้นถูกเรียกเข้าห้องICUไปทัดใบมะตูมหรือเปล่า,และลองโทรถามเมียนรชิตที่กลับมาเป็นปลัดกระทรวง(เพื่อไถ่บาปที่ยิงเป้าปู่เขาเพื่อปิดปากที่เห็นร.9ถือปืนอยู่ในห้องนอนร.8)ที่ประกาศในราชกิจจา12กพ.นี้สดๆร้อนๆด้วยก็ได้จะได้ตาสว่าง
*เรื่องกษัตริย์ภูมิพลนอนเป็นผักเป็นที่ประจักษ์ในวงการฑูตหมดแล้ว...การบริหารรัฐไทยจึงเดินไปอย่างกระปลกกระเปลี้ยมีแต่เหี้ยถือปืนรัษาอำนาจกันไปวันๆ...ยิ่งลากนานไปรัชกาลใหม่ก็คงไม่มี
ข่าวองคมนตรี
*อยากรู้เรื่องวุ่นๆกษัตริย์ภูมิพลเป็นอย่างไรก็ให้เหลียวมาดูเรื่ององคมนตรีพลเอกพิจิต กุลวานิช,ยังไม่ทันตายลูกเมียแรกจากอเมริกาบินมาทะเลาะกับลูกเมียล่าและพี่น้องเรื่องมรดกโดยมีข่าวว่าบิ๊คเสืออายุ85นอนแขม่วรอตาย,จนถึงขั้นต้องเข็นทั้งผัวทั้งเมียออกมาโชว์ตัวชู2นิ้วจนคนวงในหัวเราะก๊ากเพราะทั้งคู่เป็นอัลไซเมอร์มานานไม่รู้เรื่องจำอะไรไม่ได้ไม่เคยไปประชุมคณะองคมนตรีมานานเป็นปีแล้วแต่ยังรับเงินเดือนองค์มนตรีและบำนาญทหารเป็นปกติและอีกหลายคนในคณะองคมนตรีก็เป็นอย่างนี้...นี่แหละคุณธรรมที่องค์เปรมป่าวประกาศหลักฐานก็โทนโท่อยู่ใกล้ตัวก็ยังเซนต์จ่ายเงินภาษีประชาชนให้กินเป็นประจำทั้งที่หมดสภาพจะทำงาน
*ก็แค่บิ๊คเสืออายุ85ยังอัลไซเมอร์ครอบครัวแย่งมรดกทะเลาะกัน,แล้วบิ๊คภูมิพล87รวยที่สุดในโลกและอาการหนักกว่ามากจะไม่วุ่นได้อย่างไร...นี้แหละคือชีวิตของกลุ่มผู้มีคุณธรรมสูง555
*องค์เปรมก็ใช่ย่อยพอมีข่าวยุทธ์เหล่ออกมาตีปลาหน้าไซว่าแถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่13ปลอมก็ร่วมโดดร่มไม่เข้าประชุมองคมนตรีเมื่อวันอังคารที่3กุมภาพันธ์ โดยมิได้นัดหมายพลร่มด้วยกันหลายคนเช่นพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา,ธานินทร์ กรัยวิเชียร,กมลเทพ เทวกุล(พระญาติราชินี)คงไม่อยากตอบคำถามว่า"ตกลงกษัตริย์ภูมิพลยังลงนามได้ใหม?"
ข่าวมืดอนาคตปชต.ไทย
*นายแพทริค เมอร์ฟี่ อุปทูตสหรัฐประจำไทยถูกคสช.เรียกปรับทัศนคติหลายรอบ,ล่าสุดถูกเรียกพบนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ปรับนานประมาณ1ชั่วโมงสายข่าวหนังสือพิมพ์ทำเนียบรายงานว่าถูกถามตรงๆ"ยิ่งลักษณ์ยื่นเรื่องขอลี้ภัยในสหรัฐแล้วใช่ใหม?"ก็ถูกอุปฑูตฮาร์ดคอร์ตอกกลับอีกครั้งว่า"ขอให้ไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว"
*เรื่องกลับคืนสู่ประชาธิปไตยก่อนร.9ตายคงไ่ม่ต้องฝันเพราะสัญญานตามล้างตามเช็ดเพื่อจะสถาปนาราชวงศ์คสช.ให้มั่นคงอยู่ยาวหลุดออกจากปากยุทธ์เหล่ที่ญี่ปุ่นว่า"เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้ววุ่นอีกก็จะยึดอำนาจอีก"เป็นข่าวใหญ่จนเมื่อ10กพ.นางเจน ซากี โฆษกกระทรวงต่างประเทศอเมริกาต้องออกมาส่งใบเตือนยุทธ์เหล่อีกรอบ...อย่างนี้อนาคตปชต.ไทยยังจะมีอีกหรือ?
*มาดูเรื่องวุ่นๆที่ยุทธ์เหล่สร้างไม่หยุดตั้งแต่หนุนหลังให้ม๊อบอันธพาลกปปส.เทพ+เทือกออกมาก่อจราจลจนถึงหาทางไล่จับนายกยิ่งลักษณ์และสมชายเข้าคุกด้วยข้อหาปปช.ลูกสมุนตั้งเองและศาลการเมืองลูกสมุนตัดสินเอง,จนถึงทูลเกล้าให้วังล่อกันให้สบายระบายอารมณ์ล่าสุดเชื้อพระวงศ์อย่างนายอภิรุจและนางวันทนีย์สุวะดี ท่านพ่อท่านแม่นางฟ้าตกสวรรค์ศรีรัศมิ์ก็ถูกควบคุมตัวดำเนินคดีข้อหายอดฮิต112...วุ่นๆอย่างนี้ยังจะมีอนาคตปชต.อีกหรือ?...ยังจะเห็นเรื่องวุ่นใหม่ๆที่ยุทธ์เหล่และคณะจะจัดให้อีกหลายเรื่องตามมาเพื่อเปิดเงื่อนไขให้บ้านเมืองไม่สงบเพื่อสบโอกาศใหม่เพื่อรวบอำนาจอีกแต่หากแกนนำเสื้อแดงจะยอมทนเพื่อให้เกิดเลือกตั้งก็ยิ่งดีจะได้ตายฟรีไปทีละคน...ทีละคน
*เจ้ากำลังซ่าสุดขีดอย่าว่าแต่ตามล่านายกปูแม้แต่จะเดินทางไปทำบุญกระดูกให้บรรพบุรุษที่วัดอ.กำแพงแสน,"สารวัตรหนุ่ย"ตำรวจติดตามนายกปูก็ยังถูกตามรังควาญจากไอ้หม่อมเจ้ากระจอก จุลเจิม ยุคล ที่เรียกร้องให้ผบ.ตร.เรียกกลับโดยอ้างว่ากินเงินเดือนจากภาษีประชาชน...สปท.ก็เรียกร้องกลับให้ไอ้เจ้ากระจอกนี้หันกลับไปดูไอ้พวกองคมนตรีเฒ่าอัลไซเมอร์ทั้งหลายที่เงินเดือนสูงกว่าสารวัตรหนุ่ยด้วยว่าทำงานกันไม่ได้และนอนรอความตายกันอยู่ที่บ้านแต่ทำไมยังรับเงินเดือนองคมนตรีเต็มๆพร้อมเบี้ยประชุม
*ปิดท้ายวันนี้ก็เรื่องเจ้าเหมือนกันคือบรรพต ดีเจวิทยุใต้ดินที่ชอบด่าเจ้าแต่เปลือกทำตัวให้โด่งดังมาหลายปีทำเอาคนที่แสวงหาตาสว่างฟังติดกันงอมแงม,วันนี้ถูกจับพร้อมสารภาพชมเชยคสช.ทหารที่ยึดอำนาจ...สปท.ไม่เคยให้คะแนนคนนี้มาตั้งแต่ต้นเพราะทิศทางสร้างความแตกสามัคคีในขบวนการประชาธิปไตยมาตลอด...เมื่อถูกจับก็แสดงตัวขอเมตตาด้วยความกลัวก็ยิ่งชัดและเมื่อยิ่งเจาะลึกลงไปก็ยิ่งเห็นว่าดั้งเดิมเป็นพวกขวาจัดที่ผิดหวังจากความไม่เป็นธรรมที่วังฆ่าได้แม้แต่สมัคร สุนทรเวช วีรบุรุษในดวงใจจึงเกิดอาการตาสว่างแต่ยังอวยเจ้าสุดจิตสุดใจโดยเฉพาะฟ้าชาย...ก็ติดตามดูต่อไปว่าจะได้พระบารมีเมตตาตามมาหรือไม่...แต่เสียงประชาชนไทย(สปท.)รายงานข่าวลับกรองแล้วเปิดโปงเรื่องจริงในวังมานานเกือบ10ปีไม่เห็นมีใครมาตามหาแต่บอกใบ้ให้ก็ได้ว่าอยู่สแกนดิเนเวียสบายดีดี่ดี้ดี๊ดี๋//....จบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)