กรณีมีสมาชิกออกจากห้องต่าง ๆ กันมาก โดยเฉพาะในสภาวะที่ฝ่ายเผด็จการราชาธิปไตยใช้ปฏิบัติการสงครามจิตวิทยาอย่างแข็งกร้าว การจัดตั้งที่ปิดลับ-ใต้ดิน คือคำตอบที่ถูกต้องของการแก้ปัญหาเหล่านี้ ทั้งนี้เกิดจากเหตุผลหลายประการ เช่น
1. มีการกลั่นกรองก่อนเข้าร่วมการจัดตั้งอย่างเข้มงวด
2. ทุกคนที่เข้าร่วมต่างก็ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้จนจิตใจกล้าแกร่ง
3. การปิดลับที่ถือเป็นกฎเหล็ก จะช่วยป้องกันภัยจากพวกเผด็จการราชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี
4. การอยู่ในหน่วยจัดตั้ง จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเชิงลึก จากหน่วยงานที่ศึกษาสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
5. องค์กรจัดตั้งทั้งหมด มีการแบ่งงานกันทำตามความเหมาะสม ทำให้ทุกส่วนต่างก็มองเห็นความก้าวหน้าของการงาน (ปฏิวัติ) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้กันและกัน
6. ทุกคนในองค์กรจัดตั้ง ร่วมกันผลักดันให้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้น และไปในทิศทางเดียวกัน
7. หากมีข้อขัดแย้ง ความเห็นที่แตกต่างกัน ก็น้อมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน มิใช่โกรธ ว่าอะไรไม่ได้ ออกจากกลุ่มก็ได้ ไม่ง้อ ฯลฯ ซึ่งถือว่าเอาความคิดเห็นตนเป็นใหญ่ ไม่ใช่การมาร่วมกันด้วยความคิดที่ต้องการแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชน อันเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าความไม่พอใจส่วนตัว ฯลฯ
8. การเข้าร่วมจัดตั้งแบบปิดลับใต้ดิน ถือเป็นเกียรติประวัติอันสูงส่งในชีวิต เป็นความภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ ประชาชน และร่วมสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนขึ้นบนแผ่นดินนี้
การต่อสู้จะเริ่มเมื่อไหร่
จะเปลี่ยนระบอบได้ "เหตุปัจจัยภายใน" ต้องพร้อมและสอดคล้องกับ "เหตุปัจจัยภายนอก" ที่เอื้ออำนวย
การใช้ระบอบเผด็จการ การใช้ ม.44 การกดหัวเหยียบย่ำประชาชนทุกรูปแบบ พวกอำมาตย์ขัดแย้งกับพวกขุนศึก พ่อตายแม่เป็นบ้า ครอบครัวแตกแยก น้องจ้องแย่งเก้าอี้พี่ที่มัวเมาแต่อิสตรี การโกงกินคอรัปชั่นในทุกระดับ ปัญหาบ้านเมืองไม่มีใครแก้ไขไม่ว่าน้ำท่วม ฝนแล้ง สภาวะผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำ สินค้าส่งออกไม่ได้ นักลงทุนหนีไปต่างประเทศ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของเหตุปัจจัยภายนอก ที่พวกเราผู้รักประชาธิปไตยและต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมยังไม่มีอำนาจที่จะไปกำหนดควบคุมอะไรได้ แต่เหตุปัจจัยภายนอกเหล่านี้กำลังเป็นผลดีกับการเปลี่ยนระบอบ ถือเป็นโอกาสที่ดีของเรา
แม้กระนั้นโอกาสที่ดีเหล่านี้อาจจะผ่านเลยไป ถ้าเราไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ เพราะเหตุปัจจัยภายในไม่พร้อม
เช่น คนไม่พร้อม ยังไม่ได้จัดตั้ง ยังไม่รู้หลักการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ฯลฯ เราก็จะทำได้แค่วิพากษ์วิจารณ์ พวกมันก็ทำหูทวนลม ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน การเปลี่ยนระบอบก็ยังไม่เกิดขึ้น
ยิ่งเราช่วยกันทำให้เหตุปัจจัยภายในของเรามีความพร้อมมากขึ้นเท่าไร ก็จะใช้ประโยชน์จากโอกาสต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งการจัดตั้งเข้มแข็งขึ้น ขยายตัวมากขึ้นเท่าไร ก็จะสร้างสรรค์กิจกรรมอื่น ๆ ที่มีพลังได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ดุลย์อำนาจของฝ่ายประชาธิปไตยจึงค่อย ๆ สะสมกำลังจนเอาชนะฝ่ายเผด็จการได้
ฉะนั้น ขณะที่ด้านหนึ่งเปิดโปงวิพากษ์วิจารณ์ระบอบเผด็จการราชาธิปไตยในด้านต่าง ๆ
แต่อีกด้านหนึ่งที่ชี้ขาดชัยชนะจริง ๆ นั้นคือ "การจัดตั้งกำลังของประชาชนให้เข้มแข็ง"
เอาแต่เปิดโปงศัตรู แม้จะทำได้ง่าย แต่ไม่ชนะหรอก
การจัดตั้งหรือจัดกำลังของเราให้พร้อมรบ (ทุกรูปแบบ) ต่างหากคือปัจจัยชี้ขาดชัยชนะ
เราอยู่ต่างที่ต่างถิ่นจะทำอะไรได้บ้าง
นักสู้ที่อยู่ต่างประเทศ เน้นบทบาทเปิดโปง ชี้ให้มวลชนเห็นเป้าของการปฏิวัติที่คนในประเทศถูกจำกัดด้วย 112 หามิตรต่างประเทศ ใช้ประโยชน์จากองค์กรระหว่างประเทศ ระดมปัจจัยต่าง ๆ หนุนช่วยภายในประเทศ
นักสู้ในประเทศเขตเมือง เน้นงานมวลชน จัดตั้งและขยายบทบาทผู้ใช้แรงงาน นักศึกษา นักวิชาการ งานสตรี แม่บ้าน ผู้นำทางความคิด ฯลฯ เน้นต่อสู้ทางความคิด กระจายข้อมูล เตรียมงานเศรษฐกิจรองรับ เตรียมสถานที่ฝึกอบรม ประชุม การประสานงาน หนุนช่วยนักต่อสู้ในเขตยุทธศาสตร์อื่น ฯลฯ
นักสู้ในชนบท เน้นงานมวลชน จัดตั้งเกษตรกร เยาวชน สตรี ฯลฯ ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารสู่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในหมู่นักสู้เสื้อแดงตาสว่าง เตรียมสถานที่ เตรียมอาหาร ที่พักพิง การประสานงาน ฯลฯ
นักสู้ในโลกไซเบอร์ เน้นการต่อสู้ทางด้านข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่วิธีคิด วิธีทำงาน เพื่อการเปลี่ยนระบอบ
รวบรวม ประสาน เชื่อมร้อยนักสู้ทั้งในต่างประเทศ เขตเมืองและในชนบท ส่งต่อให้กับหน่วยงานด้านการจัดตั้ง
นักรบทั้ง 4 เขตยุทธศาสตร์ ประสานเชื่อมร้อยด้วยระบบการจัดตั้งที่เข้มแข็ง ปิดลับ ไร้ร่องรอย มีตัวแทนประชุมหารือ กำหนดขั้นตอนจังหวะก้าว ตอบโต้ รุกรบ ฯลฯ อย่างเป็นรูปธรรม
ประสานกับองค์กรอื่น ๆ ให้เป็นแนวร่วมที่กว้างใหญ่และทรงพลัง รวบรวมมวลชนที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นกองทัพอันเกรียงไกร (ไม่ได้หมายถึงกองทัพแบบพวกทะเหี้ยนะ แนวรบเรื่องใช้ความรุนแรง คงละไว้ก่อน) ศัตรูที่ทำท่าขึงขังก็จะกลายเป็นเป็ดง่อย เป็นจำอวดหน้าม่าน ตัวสั่นงันงกอยู่กลางวงล้อมของกองทัพประชาชนที่พวกเขามองไม่เห็น หาไม่เจอ แต่สัมผัสได้ถึงพลังแห่งการเปลี่ยนระบอบที่เข้มแข็งดุดัน เกิดขึ้นที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ปะทะตอบโต้โจมตีพวกเขาทุกหนแห่ง ทุกรูปแบบ
ทำลายแนวปิดกั้นของพวกเขาไม่ว่าข่าวสาร การสื่อสาร การจัดตั้ง การประสานงาน
เมื่อภาววิสัยเปลี่ยน
ศัตรูเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใช้บทกร้าวร้าวกดหัว ปราบปรามประชาชน
ประชาชนก็ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้ทัน
ต้องปรับเหตุปัจจัยภายในของเราให้สอดคล้องกับเหตุปัจจัยภายนอกที่เอื้ออำนวย
การแบ่งเขตยุทธศาสตร์ภาคประชาชนออกเป็น 4 เขตยุทธศาสตร์ เป็นหนึ่งในหลักการปรับตัวของเราที่สอดคล้องกับเหตุปัจจัยภายนอกที่เป็นจริง
เพราะเราไม่สามารถระดมมวลชนเป็นแสนเป็นล้านได้เหมือนช่วงรัฐบาลประชาธิปไตย การเลือกตั้งก็มิใช่คำตอบทางยุทธศาสตร์อีกแล้วภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับมีชัย หากยังเปลี่ยนระบอบไม่ได้ เลือกตั้งไปก็ไร้ประโยชน์
ตามหลักคิดแบบ 4 เขตยุทธศาสตร์นี้ จะเกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงขึ้นในแต่ละส่วน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ผู้นำเดิม ๆ ที่มีข้อจำกัดในการต่อสู้ในเมืองแบบเปิดเผยในอดีต
แต่ถ้าอดีตผู้นำทั้งหลายพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประชาชน ขบวนประชาชนก็ยินดีต้อนรับเสมอ ผู้นำที่เปิดเผยได้ ส่วนมากจะอยู่ในแนวรบต่างประเทศ ส่วนผู้นำในเขตเมืองและชนบทต้องปิดลับอย่างเข้มงวด ทั้งตัวบุคคล องค์กรจัดตั้ง และงานการจัดตั้งที่เป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน
ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเปลี่ยนระบอบคือ
1. รวบรวมมวลชนคนก้าวหน้าตาสว่าง ผู้รักประชาธิปไตย เกลียดชังเผด็จการราชาธิปไตย ให้เป็นกลุ่มก้อน ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่นการเปิดห้องต่าง ๆ ในไลน์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี
2. คัดกรองนักสู้ตัวจริง แยกแยะสปายสายลับที่ปลอมปนเข้ามาอย่างรัดกุม
3. สร้างหน่วยจัดตั้งขึ้นตามระดับความตื่นตัวทางการเมือง สร้างงานตามสภาพที่เป็นจริงด้วยความคิดรวมหมู่ของสมาชิกในหน่วยซึ่งมีจำนวน 3-9 คน ถ้ามากกว่านี้ต้องแยกหน่วยเพื่อความคล่องตัว
ในหน่วยจัดตั้ง ต้องมีประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ขบคิด อภิปราย แลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ แล้วสรุปเป็นมติของที่ประชุม มอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งอาจรับไปแค่ 1 คน 3 คน หรือทั้งหมดก็ได้ สุดแท้แต่ความเหมาะสม
มีวาระการพบปะเป็นประจำ สม่ำเสมอ เพื่อสรุปสถานการณ์ ยกระดับความรับรู้ เชื่อมมิตรสัมพันธ์ สรุปงาน และกำหนดภารกิจใหม่ เป็นต้น
ในหน่วยต้องเลือกผู้ประสานงานหรือหัวหน้าหน่วยขึ้นไปประสานกับหน่วยอื่น ๆ เน้นว่าเลือกนะ มิใช่ให้ใครตั้งขึ้นมา
หน่วยจัดตั้งลักษณะนี้ จะสื่อสารได้สองทาง มิใช่รับคำสั่งใคร ผู้ประสานงานหรือหัวหน้าหน่วยจะต้องเสียสละมากกว่า เหนื่อยมากกว่า ความรับผิดชอบสูงกว่า อันตรายมากกว่า ยิ่งมีหลายหน่วยก็ยิ่งหนักหน่อย
นี่เป็นภารกิจเพื่อการเปลี่ยนระบอบ ต้องอาศัยความเสียสละ ความกล้าหาญ ภาวะผู้นำ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ ต้องดำเนินการด้วยความลับ เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกทุกคน มิใช่เพื่อความโก้เก๋ โอ้อวด หวังคะแนนเสียง ชื่อเสียงส่วนตัว ลาภยศสรรเสริญ
เพราะจะไม่มีใครรู้ว่าคุณหรือใครทำ คุณอาจจะถูกศัตรูทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ และไม่มีใครจ้างคุณมาทำด้วย
คุณจะเป็นนักสู้นิรนาม ที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และความเสียสละอย่างสูง เพื่อภารกิจทางประวัติศาสตร์ ที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ ไม่ระย่อท้อถอย มีหัวใจที่มุ่งมั่น ฝังศพเพื่อน เช็ดคราบเลือดที่เกรอะกรัง แล้วก้าวต่อไปด้วยหัวใจที่ไม่แพ้ ไปสร้างความฝันให้เป็นจริง
โค่นล้มศัตรู เปลี่ยนระบอบ สร้างประชาธิปไตย สร้างประเทศที่ก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่
เพื่อลูกหลาน เพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติ และเพื่ออุดมการณ์อันสูงส่ง
ที่ประเทศเวียดนาม ตลอดเส้นทางที่นั่งรถไปเที่ยวเมืองฮอยอัน รถจะผ่านเมืองกวางตรี เมืองเว้ เมืองดานัง สองข้างทางจะมีสุสานวีรชนนิรนามเต็มไปหมด ถ้าเขาเหล่านั้นไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าเสียสละ ไม่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง คงจะไม่มีเวียดนามในวันนี้ และแน่นอนถ้ามองข้ามเข้าไปในประเทศจีน กว่าจะมีประเทศจีนในวันนี้ ก็ต้องผ่านช่วงประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด ที่วีรชนนิรนามจำนวนมากได้ยอมเสียสละชีวิต เลือดเนื้อ ความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสเพื่อชาติบ้านเมืองมาก่อน
ประวัติศาสตร์ของประเทศเรากำลังมาถึงจุดนี้ จุดที่ศัตรูของประชาชนกำลังบ้าคลั่งและพังทลาย จุดที่พวกเขากำลังเปลี่ยนหัวขบวน กลไกแขนขาก็จ้องโกงกินกอบโกยเพราะรู้ว่านาทีทองมีไม่นานนัก หรือไม่ก็เกียร์ว่างวางเฉย รอเจ้านายใหม่เผย ตัวให้ชัดเสียก่อน เป็นจุดอ่อนที่หาไม่ได้ง่าย ๆ
ยิ่งมีนายกฯ ตัวตลกหน้าม่านที่มือเปื้อนเลือด ยิ่งนำ ม.44 มาใช้เพื่อกดหัวปิดปากประชาชน
บอกได้เลยว่า โอกาสของการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว เร่งศึกษา เร่งจัดตั้งกันเถิดพี่น้อง
จัดวางกำลังคนของเราให้พร้อมในเขตยุทธศาสตร์ทั้ง 4
เชื่อมร้อยด้วยการจัดตั้งที่ปิดลับและเข้มแข็ง
ประสานกับองค์กรผู้รักประชาธิปไตยทั้งปวง แสวงหาความร่วมมือและใช้พลังทุกอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้นักรบไซเบอร์เป็นกองกำลังเผยแพร่ ทั้งข้อมูลข่าวสารความคิดและสติปัญญาต่าง ๆ ไปสู่หน่วยงานจัดตั้งอื่น ๆ ทั้งในเมือง ในชนบท และต่างประเทศ
จับมือประสานกันให้มั่นคง สามัคคีกันสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชน
เอกภาพ ปทุม&team - 1123
1. มีการกลั่นกรองก่อนเข้าร่วมการจัดตั้งอย่างเข้มงวด
2. ทุกคนที่เข้าร่วมต่างก็ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้จนจิตใจกล้าแกร่ง
3. การปิดลับที่ถือเป็นกฎเหล็ก จะช่วยป้องกันภัยจากพวกเผด็จการราชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี
4. การอยู่ในหน่วยจัดตั้ง จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเชิงลึก จากหน่วยงานที่ศึกษาสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
5. องค์กรจัดตั้งทั้งหมด มีการแบ่งงานกันทำตามความเหมาะสม ทำให้ทุกส่วนต่างก็มองเห็นความก้าวหน้าของการงาน (ปฏิวัติ) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้กันและกัน
6. ทุกคนในองค์กรจัดตั้ง ร่วมกันผลักดันให้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้น และไปในทิศทางเดียวกัน
7. หากมีข้อขัดแย้ง ความเห็นที่แตกต่างกัน ก็น้อมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน มิใช่โกรธ ว่าอะไรไม่ได้ ออกจากกลุ่มก็ได้ ไม่ง้อ ฯลฯ ซึ่งถือว่าเอาความคิดเห็นตนเป็นใหญ่ ไม่ใช่การมาร่วมกันด้วยความคิดที่ต้องการแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชน อันเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าความไม่พอใจส่วนตัว ฯลฯ
8. การเข้าร่วมจัดตั้งแบบปิดลับใต้ดิน ถือเป็นเกียรติประวัติอันสูงส่งในชีวิต เป็นความภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ ประชาชน และร่วมสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนขึ้นบนแผ่นดินนี้
การต่อสู้จะเริ่มเมื่อไหร่
จะเปลี่ยนระบอบได้ "เหตุปัจจัยภายใน" ต้องพร้อมและสอดคล้องกับ "เหตุปัจจัยภายนอก" ที่เอื้ออำนวย
การใช้ระบอบเผด็จการ การใช้ ม.44 การกดหัวเหยียบย่ำประชาชนทุกรูปแบบ พวกอำมาตย์ขัดแย้งกับพวกขุนศึก พ่อตายแม่เป็นบ้า ครอบครัวแตกแยก น้องจ้องแย่งเก้าอี้พี่ที่มัวเมาแต่อิสตรี การโกงกินคอรัปชั่นในทุกระดับ ปัญหาบ้านเมืองไม่มีใครแก้ไขไม่ว่าน้ำท่วม ฝนแล้ง สภาวะผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำ สินค้าส่งออกไม่ได้ นักลงทุนหนีไปต่างประเทศ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของเหตุปัจจัยภายนอก ที่พวกเราผู้รักประชาธิปไตยและต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมยังไม่มีอำนาจที่จะไปกำหนดควบคุมอะไรได้ แต่เหตุปัจจัยภายนอกเหล่านี้กำลังเป็นผลดีกับการเปลี่ยนระบอบ ถือเป็นโอกาสที่ดีของเรา
แม้กระนั้นโอกาสที่ดีเหล่านี้อาจจะผ่านเลยไป ถ้าเราไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ เพราะเหตุปัจจัยภายในไม่พร้อม
เช่น คนไม่พร้อม ยังไม่ได้จัดตั้ง ยังไม่รู้หลักการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ฯลฯ เราก็จะทำได้แค่วิพากษ์วิจารณ์ พวกมันก็ทำหูทวนลม ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน การเปลี่ยนระบอบก็ยังไม่เกิดขึ้น
ยิ่งเราช่วยกันทำให้เหตุปัจจัยภายในของเรามีความพร้อมมากขึ้นเท่าไร ก็จะใช้ประโยชน์จากโอกาสต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งการจัดตั้งเข้มแข็งขึ้น ขยายตัวมากขึ้นเท่าไร ก็จะสร้างสรรค์กิจกรรมอื่น ๆ ที่มีพลังได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ดุลย์อำนาจของฝ่ายประชาธิปไตยจึงค่อย ๆ สะสมกำลังจนเอาชนะฝ่ายเผด็จการได้
ฉะนั้น ขณะที่ด้านหนึ่งเปิดโปงวิพากษ์วิจารณ์ระบอบเผด็จการราชาธิปไตยในด้านต่าง ๆ
แต่อีกด้านหนึ่งที่ชี้ขาดชัยชนะจริง ๆ นั้นคือ "การจัดตั้งกำลังของประชาชนให้เข้มแข็ง"
เอาแต่เปิดโปงศัตรู แม้จะทำได้ง่าย แต่ไม่ชนะหรอก
การจัดตั้งหรือจัดกำลังของเราให้พร้อมรบ (ทุกรูปแบบ) ต่างหากคือปัจจัยชี้ขาดชัยชนะ
เราอยู่ต่างที่ต่างถิ่นจะทำอะไรได้บ้าง
นักสู้ที่อยู่ต่างประเทศ เน้นบทบาทเปิดโปง ชี้ให้มวลชนเห็นเป้าของการปฏิวัติที่คนในประเทศถูกจำกัดด้วย 112 หามิตรต่างประเทศ ใช้ประโยชน์จากองค์กรระหว่างประเทศ ระดมปัจจัยต่าง ๆ หนุนช่วยภายในประเทศ
นักสู้ในประเทศเขตเมือง เน้นงานมวลชน จัดตั้งและขยายบทบาทผู้ใช้แรงงาน นักศึกษา นักวิชาการ งานสตรี แม่บ้าน ผู้นำทางความคิด ฯลฯ เน้นต่อสู้ทางความคิด กระจายข้อมูล เตรียมงานเศรษฐกิจรองรับ เตรียมสถานที่ฝึกอบรม ประชุม การประสานงาน หนุนช่วยนักต่อสู้ในเขตยุทธศาสตร์อื่น ฯลฯ
นักสู้ในชนบท เน้นงานมวลชน จัดตั้งเกษตรกร เยาวชน สตรี ฯลฯ ถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารสู่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในหมู่นักสู้เสื้อแดงตาสว่าง เตรียมสถานที่ เตรียมอาหาร ที่พักพิง การประสานงาน ฯลฯ
นักสู้ในโลกไซเบอร์ เน้นการต่อสู้ทางด้านข้อมูลข่าวสาร เผยแพร่วิธีคิด วิธีทำงาน เพื่อการเปลี่ยนระบอบ
รวบรวม ประสาน เชื่อมร้อยนักสู้ทั้งในต่างประเทศ เขตเมืองและในชนบท ส่งต่อให้กับหน่วยงานด้านการจัดตั้ง
นักรบทั้ง 4 เขตยุทธศาสตร์ ประสานเชื่อมร้อยด้วยระบบการจัดตั้งที่เข้มแข็ง ปิดลับ ไร้ร่องรอย มีตัวแทนประชุมหารือ กำหนดขั้นตอนจังหวะก้าว ตอบโต้ รุกรบ ฯลฯ อย่างเป็นรูปธรรม
ประสานกับองค์กรอื่น ๆ ให้เป็นแนวร่วมที่กว้างใหญ่และทรงพลัง รวบรวมมวลชนที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นกองทัพอันเกรียงไกร (ไม่ได้หมายถึงกองทัพแบบพวกทะเหี้ยนะ แนวรบเรื่องใช้ความรุนแรง คงละไว้ก่อน) ศัตรูที่ทำท่าขึงขังก็จะกลายเป็นเป็ดง่อย เป็นจำอวดหน้าม่าน ตัวสั่นงันงกอยู่กลางวงล้อมของกองทัพประชาชนที่พวกเขามองไม่เห็น หาไม่เจอ แต่สัมผัสได้ถึงพลังแห่งการเปลี่ยนระบอบที่เข้มแข็งดุดัน เกิดขึ้นที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ปะทะตอบโต้โจมตีพวกเขาทุกหนแห่ง ทุกรูปแบบ
ทำลายแนวปิดกั้นของพวกเขาไม่ว่าข่าวสาร การสื่อสาร การจัดตั้ง การประสานงาน
เมื่อภาววิสัยเปลี่ยน
ศัตรูเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใช้บทกร้าวร้าวกดหัว ปราบปรามประชาชน
ประชาชนก็ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้ทัน
ต้องปรับเหตุปัจจัยภายในของเราให้สอดคล้องกับเหตุปัจจัยภายนอกที่เอื้ออำนวย
การแบ่งเขตยุทธศาสตร์ภาคประชาชนออกเป็น 4 เขตยุทธศาสตร์ เป็นหนึ่งในหลักการปรับตัวของเราที่สอดคล้องกับเหตุปัจจัยภายนอกที่เป็นจริง
เพราะเราไม่สามารถระดมมวลชนเป็นแสนเป็นล้านได้เหมือนช่วงรัฐบาลประชาธิปไตย การเลือกตั้งก็มิใช่คำตอบทางยุทธศาสตร์อีกแล้วภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับมีชัย หากยังเปลี่ยนระบอบไม่ได้ เลือกตั้งไปก็ไร้ประโยชน์
ตามหลักคิดแบบ 4 เขตยุทธศาสตร์นี้ จะเกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงขึ้นในแต่ละส่วน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ผู้นำเดิม ๆ ที่มีข้อจำกัดในการต่อสู้ในเมืองแบบเปิดเผยในอดีต
แต่ถ้าอดีตผู้นำทั้งหลายพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประชาชน ขบวนประชาชนก็ยินดีต้อนรับเสมอ ผู้นำที่เปิดเผยได้ ส่วนมากจะอยู่ในแนวรบต่างประเทศ ส่วนผู้นำในเขตเมืองและชนบทต้องปิดลับอย่างเข้มงวด ทั้งตัวบุคคล องค์กรจัดตั้ง และงานการจัดตั้งที่เป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน
ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเปลี่ยนระบอบคือ
1. รวบรวมมวลชนคนก้าวหน้าตาสว่าง ผู้รักประชาธิปไตย เกลียดชังเผด็จการราชาธิปไตย ให้เป็นกลุ่มก้อน ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่นการเปิดห้องต่าง ๆ ในไลน์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี
2. คัดกรองนักสู้ตัวจริง แยกแยะสปายสายลับที่ปลอมปนเข้ามาอย่างรัดกุม
3. สร้างหน่วยจัดตั้งขึ้นตามระดับความตื่นตัวทางการเมือง สร้างงานตามสภาพที่เป็นจริงด้วยความคิดรวมหมู่ของสมาชิกในหน่วยซึ่งมีจำนวน 3-9 คน ถ้ามากกว่านี้ต้องแยกหน่วยเพื่อความคล่องตัว
ในหน่วยจัดตั้ง ต้องมีประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ขบคิด อภิปราย แลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ แล้วสรุปเป็นมติของที่ประชุม มอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งอาจรับไปแค่ 1 คน 3 คน หรือทั้งหมดก็ได้ สุดแท้แต่ความเหมาะสม
มีวาระการพบปะเป็นประจำ สม่ำเสมอ เพื่อสรุปสถานการณ์ ยกระดับความรับรู้ เชื่อมมิตรสัมพันธ์ สรุปงาน และกำหนดภารกิจใหม่ เป็นต้น
ในหน่วยต้องเลือกผู้ประสานงานหรือหัวหน้าหน่วยขึ้นไปประสานกับหน่วยอื่น ๆ เน้นว่าเลือกนะ มิใช่ให้ใครตั้งขึ้นมา
หน่วยจัดตั้งลักษณะนี้ จะสื่อสารได้สองทาง มิใช่รับคำสั่งใคร ผู้ประสานงานหรือหัวหน้าหน่วยจะต้องเสียสละมากกว่า เหนื่อยมากกว่า ความรับผิดชอบสูงกว่า อันตรายมากกว่า ยิ่งมีหลายหน่วยก็ยิ่งหนักหน่อย
นี่เป็นภารกิจเพื่อการเปลี่ยนระบอบ ต้องอาศัยความเสียสละ ความกล้าหาญ ภาวะผู้นำ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ ต้องดำเนินการด้วยความลับ เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกทุกคน มิใช่เพื่อความโก้เก๋ โอ้อวด หวังคะแนนเสียง ชื่อเสียงส่วนตัว ลาภยศสรรเสริญ
เพราะจะไม่มีใครรู้ว่าคุณหรือใครทำ คุณอาจจะถูกศัตรูทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ และไม่มีใครจ้างคุณมาทำด้วย
คุณจะเป็นนักสู้นิรนาม ที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และความเสียสละอย่างสูง เพื่อภารกิจทางประวัติศาสตร์ ที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ ไม่ระย่อท้อถอย มีหัวใจที่มุ่งมั่น ฝังศพเพื่อน เช็ดคราบเลือดที่เกรอะกรัง แล้วก้าวต่อไปด้วยหัวใจที่ไม่แพ้ ไปสร้างความฝันให้เป็นจริง
โค่นล้มศัตรู เปลี่ยนระบอบ สร้างประชาธิปไตย สร้างประเทศที่ก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่
เพื่อลูกหลาน เพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติ และเพื่ออุดมการณ์อันสูงส่ง
ที่ประเทศเวียดนาม ตลอดเส้นทางที่นั่งรถไปเที่ยวเมืองฮอยอัน รถจะผ่านเมืองกวางตรี เมืองเว้ เมืองดานัง สองข้างทางจะมีสุสานวีรชนนิรนามเต็มไปหมด ถ้าเขาเหล่านั้นไม่กล้าต่อสู้ ไม่กล้าเสียสละ ไม่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง คงจะไม่มีเวียดนามในวันนี้ และแน่นอนถ้ามองข้ามเข้าไปในประเทศจีน กว่าจะมีประเทศจีนในวันนี้ ก็ต้องผ่านช่วงประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด ที่วีรชนนิรนามจำนวนมากได้ยอมเสียสละชีวิต เลือดเนื้อ ความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสเพื่อชาติบ้านเมืองมาก่อน
ประวัติศาสตร์ของประเทศเรากำลังมาถึงจุดนี้ จุดที่ศัตรูของประชาชนกำลังบ้าคลั่งและพังทลาย จุดที่พวกเขากำลังเปลี่ยนหัวขบวน กลไกแขนขาก็จ้องโกงกินกอบโกยเพราะรู้ว่านาทีทองมีไม่นานนัก หรือไม่ก็เกียร์ว่างวางเฉย รอเจ้านายใหม่เผย ตัวให้ชัดเสียก่อน เป็นจุดอ่อนที่หาไม่ได้ง่าย ๆ
ยิ่งมีนายกฯ ตัวตลกหน้าม่านที่มือเปื้อนเลือด ยิ่งนำ ม.44 มาใช้เพื่อกดหัวปิดปากประชาชน
บอกได้เลยว่า โอกาสของการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว เร่งศึกษา เร่งจัดตั้งกันเถิดพี่น้อง
จัดวางกำลังคนของเราให้พร้อมในเขตยุทธศาสตร์ทั้ง 4
เชื่อมร้อยด้วยการจัดตั้งที่ปิดลับและเข้มแข็ง
ประสานกับองค์กรผู้รักประชาธิปไตยทั้งปวง แสวงหาความร่วมมือและใช้พลังทุกอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้นักรบไซเบอร์เป็นกองกำลังเผยแพร่ ทั้งข้อมูลข่าวสารความคิดและสติปัญญาต่าง ๆ ไปสู่หน่วยงานจัดตั้งอื่น ๆ ทั้งในเมือง ในชนบท และต่างประเทศ
จับมือประสานกันให้มั่นคง สามัคคีกันสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชน
เอกภาพ ปทุม&team - 1123
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น