เช้านี้ ตั้งใจไว้ว่า จะเขียนบทความง่ายๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจกัน ในเรื่อง Electoral Votes และทำไมมันถึงไม่สามารถนำมาใช้กับเรื่อง Popular Votes ได้ในเวลานี้
ก่อนที่จะอ่านบทความ อย่างแรกคือ ท่านต้องทำคือ ต้อง “กำจัด” ความคิดเกี่ยวกับเรื่อง “ประเทศ” (หรือ “รัฐเดี่ยว”) กับ “จังหวัด” ออกไป เพราะไม่อย่างนั้น ท่านจะ ไม่เข้าใจหลักการที่ใช้กัน
“สหรัฐอเมริกา” คือ “ประเทศ” ที่ประกอบไปด้วย “รัฐ” 50 รัฐ (States) บวกกับ อีก 6 ”เขตปกครองพิเศษ” (Territories) และ 1 ใน 6 ของเขตปกครองพิเศษ ชื่อว่า District of Columbia ซึ่งมีเมืองอยู่เมืองเดียวคือ กรุงวอชิงตัน และกรุงวอชิงตัน ก็เป็น เมืองหลวงของ “ประเทศ” เราเรียกว่า ระดับ Federal ประมุขฝ่ายบริหารของ “ประเทศ” เรียกว่า ประธานาธิบดี (President)
--------------------------------------------
** หมายเหตุ: ถ้าจะให้เขียนแบบลึกๆ นะคะ US มีเขตปกครองพิเศษ (Territories) อยู่ 6 แห่ง และแต่ละแห่ง มีตัวแทนหรือ Delegate ใน House of Representatives เช่นเดียวกัน เชตละ 1 คน แต่ออกเสียงไม่ได้ เขตปกครองพิเศษนี้ คือ Washington, DC; Puerto Rico; U.S. Virgin Islands; Northern Mariana Islands; Guam และ American Samoa
----------------------------------------------
“รัฐ”แต่ละ”รัฐ” (State) ต่างก็มี “เมืองหลวง” หรือ Capital City มีรัฐธรรมนูญปกครองเป็นของตนเอง มีศาลสูงสุด สภานิติบัญญัติ วุฒิสภา ออกใบขับขี่ ออกอัตราภาษีเอง ทุกๆ อย่างใช้โครงสร้างเหมือนกันกับระดับ Federal เราเรียกว่า ระดับ State ซึ่งประมุขฝ่ายบริหารของ State เรียกว่า Governor หรือ ผู้ว่าการรัฐ แถมยังมีกองกำลังปกป้องมาตุภูมิ เรียกว่า National Guards ซึ่งติดอาวุธเหมือนกับฝ่ายทหารอยู่ในทุกๆ รัฐ
----------------------------------------------
และลงไปตามเมืองใหญ่ ก็มีระบบแบบนี้เช่นกัน เรียกว่า ระดับ “Local” หรือท้องถิ่น ประมุขฝ่ายบริหารของเมือง เรียกว่า Mayor หรือเป็นภาษาไทยเรียกว่า นายกเทศมนตรี มีศาล มีกฎหมายการปกครอง (Ordinances) เหมือนกับระดับใหญ่ๆ มีสภาผู้แทนของเมือง ประชุมกันเหมือนระดับบนๆ การปกครองต่างๆ เป็นอิสระ ตัดสินใจเองได้
----------------------------------------------
กลับไปที่เรื่องของ Electoral Votes กัน
Electoral College ประกอบด้วยตัว Electors ทั้งหมด 538 คน ซึ่งมาจาก:
• 435 Congressional Districts (รัฐทุกรัฐรวมกัน มี เขตผู้แทนฯ อยู่ทั้งหมด 435 เชต ซึ่งเท่ากับจำนวนผู้แทนทั้งหมดใน สภาล่าง หรือ House of Representatives) บางรัฐก็มี เขต Congressional ตั้งแต่ หนึ่ง ไปจนถึงหลายสิบ แต่ละเขตก็มี ผู้แทน หรือ เทียบได้กับ สส ในระบบของรัฐสภา หรือ Parliamentary System นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ทุกๆ รัฐรวมกัน ก็มีจำนวน 435 เขต
• 100 Senates รัฐแต่ละรัฐ จะได้รับการปันส่วนจำนวนวุฒิสมาชิก รัฐละ 2 คน โดยไม่จำเป็นว่า จะเป็นรัฐใหญ่หรือเล็ก 50 รัฐ คูณ 2 ก็เท่ากับ 100 คน
• 435 + 100 = 535 และอีก 3 เพื่อที่จะทำให้เป็น 538 ก็คือ 3 เสียงจากเขตปกครองพิเศษของ Washington, DC นั่นเอง
----------------------------------------------
ประชาชนที่อาศัยอยู่ใน Washington, DC ไม่มีตัวแทนของตนเองในทั้งสองสภา คือ House of Representatives และ ในสภา Senate (มีแต่ตัวแทนหรือ Delegate ซึ่งเข้าประชุมในสภาได้ แต่ไม่สามารถมีสิทธิ์ออกเสียงได้) ดังนั้น เราจึงเห็นป้ายบ่อยครั้งที่นั่นว่า ประชาชนเสียภาษี แต่ไม่มีตัวแทนของตนในสภานิติบัญญัติเลย (Taxation without Representation)
----------------------------------------------
ตามหลักการของ Electoral Votes จะใช้การนับที่นั่งของ House of Representatives บวกกับ Senate ซึ่งมีดังนี้:
1. รัฐแต่ละรัฐ จะได้รับ ที่นั่ง จาก Senate 2 ที่ และได้รับ 1 ที่ใน House of Representatives โดยอัตโนมัติ ดังนั้น จำนวนของ ที่นั่ง ที่ได้รับ "โดยอัตโนมัติ" ทั้งหมด คือ 100 + 50 เท่ากับ 150
คำว่า "อัตโนมัตินี้" ไม่จำเป็นว่า ประชากรจะมีอยู๋เท่าไรภายในรัฐ จะเป็นหกแสน หรือ หกล้าน ก็ได้ที่นั่งเท่ากัน
2. ตัวแทนในเขต Washington, DC ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสภา (แต่สามารถได้รับ 3 Electors อย่าง โดยเสมอไป 150+3 = 153
3. ที่เหลือคือ 538-153 เท่ากับ 385 ที่นั่ง
4. 385 ที่นั่งที่เหลือนี้ จะต้องมาทำการจัดสรรปันส่วน หรือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า apportionment
5. ทุกๆ 10 ปี จะมีการสำรวจสำมะโนประชากร หรือ Population Census กัน ตัวเลขของประชากรในแต่ละรัฐ จะถูกนำมาใช้ในการคำนวณ การแบ่งสันปันส่วนที่นั่งที่เหลืออยู่นี้ว่า จะลงตัวกันอย่างไร
(การสำรวจสำมะโนประชากรใน US ไม่คำนึงถึงเรื่อง สถานะหรือสัญชาติของผู้อยู่อาศัย หลักการคือ จะต้องนับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่อย่างถูกหรือผิดกฎหมาย และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ในการจัดสัดส่วนประชากร)
6. อย่าลืมว่า การจัดสรรปันส่วนนี้ ไม่ได้อยู่เพียงแต่จำนวนประชากรว่า สส หนึ่งคน ต้องมีประชากรเท่าไร เนื่องจากเรากำลังกล่าวถึงระดับ Federal ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีการคำนวณเรื่องรัฐที่มีคนน้อย กับ รัฐที่มีคนน้อยกว่า เพื่อที่จะทำการแบ่งสันปันส่วนกันอย่างไรด้วย
(ถ้าเราคิดแบบของไทย มันจะเป็นตัวเลขที่เห็นง่าย เพราะไทยเป็น “รัฐเดี่ยว”) เมื่อแต่ละรัฐ มีการปกครองภายในแตกต่างกัน จะมาระบุจำนวน Representatives เท่ากับประชากรเท่าไรนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เพราะถือว่า อำนาจอธิปไตย มีอยู่กับรัฐทุกๆ รัฐ จึงต้อง "คิด" แบบระดับ "Federal"
7. การดำเนินการปันส่วน (Apportionment) จาก 385 ที่นั่ง จะเริ่มจากรัฐที่มีประชากรมากที่สุดก่อน คือ California จากนั้นก็ไปที่ Texas, New York เรื่อยไปตามลำดับ วิธีการนี้เรียกว่า ระบบ Huntington-Hill Method ซึ่งท่านสามารถไปอ่านเพิ่มความรู้เองได้ที่ลิงค์ข้างล่าง คอมเม้นท์ที่ 1
8. การแบ่งสันปันส่วนที่นั่ง จะต้องเป็นตัวเลขสมบูรณ์ โดยไม่มีจุดทศนิยม
9. ใช้หลักการคำนวณการจัดสรรปันส่วนแล้ว เราจะเห็นจำนวนที่นั่งที่เหลือทั้ง 385 ที่นั่ง ใน House of Representatives ว่าถูกแบ่งออกไปเท่าไร และจะไปลงที่รัฐใดบ้าง จากลิงค์ข้างล่าง คอมเม้นท์ที่ 2)
10. ทุกๆ 10 ปี รัฐบางรัฐจะได้ที่นั่งเพิ่ม และ บางรัฐจะได้ที่นั่งลดลง ในเขต Congressional Districts ของตนเอง เพราะประชากรในรัฐของตน อาจจะเพิ่มขึ้น หรือ น้อยลง เรื่องขึ้นอยู่กับการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งล่าสุด จากลิ้งค์นี้ เราจะเห็นว่า รัฐไหน ได้ที่นั่งใน House of Representatives เพิ่มขึ้นเท่าไร และรัฐไหน ถูกลดที่นั่งออกไป จำนวนที่นั่งเพิ่ม กับจำนวนที่นั่งที่สูญไป จะต้องเป็นตัวเลขเท่ากัน
(ดูลิ้งค์ข้างล่าง คอมเม้นท์ที่ 3)
----------------------------------------------
เพราะฉะนั้น รัฐที่มี Electors 3 คน อย่างเช่น Wyoming (586,107); Montana (1,032,949), North Dakota (756,927), South Dakota (858,469); Delaware (945,934), Washington – DC (672,228); Vermont (626,042) และ Alaska (738,432) เราก็เห็นแล้วว่า แต่ละรัฐล้วนมีประชากรต่างกันพอสมควร แต่จำนวน Electors มีเท่ากัน คือรัฐละ 3 คน
ถ้าจะให้เทียบว่า ประชากรต้องเฉลี่ยเท่าไรต่อหนึ่งที่นั่งใน House of Representatives ก็เทียบได้อย่างเช่น California ก็ตกประมาณ 738,581 คน แต่รัฐ Montana หนึ่งที่นั่งต้องใช้ประชากร 1,032,949 คน
รัฐ Wyoming ต้องใช้ประชากรเฉลี่ย 586,107ต่อหนึ่งที่นั่ง ในขณะที่รัฐ Montana ใช้ประชากรต่างกันกับหนึ่งเท่าตัว แต่ก็มี Elector เท่ากัน คือ 3 คน ต่างกันมากใช่ไหม? แต่เพราะนี่คือ concepts ของ “Federal Level” แล้ว
ยิ่งรัฐใหญ่เท่าไร จะได้เปรียบในจำนวนของ Electors เพราะมันมีสัดส่วนและความสัมพันธ์กันกับ Popular Votes ด้วย
ค่าเฉลี่ยต่อประชากร ถ้าใช้จำนวนทั้ง 50 รัฐ ก็ตกประมาณ 737,348 คน ซึ่งรัฐเล็กๆ อย่าง Wyoming มีไม่ถึงแน่นอน
----------------------------------------------
เพราะฉะนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งใหญ่เกิดขึ้น รัฐแต่ละรัฐ จะมาใช้ Popular Votes กับ เรื่องที่เกิดขึ้นภายในรัฐตนเอง อย่างเช่น การเลือก Governor, Senator, House of Representatives เนื่องจาก เสียงส่วนใหญ่จะเป็นตัวตัดสินภายในรัฐตนเองทุกอย่าง
แต่เมื่อเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ Federal Level แล้ว รัฐเล็กๆ อย่าง Wyoming จะเสียเปรียบรัฐใหญ่อย่าง California หรือ Texas มาก ถ้าใช้หลักการของ Popular votes
ดังนั้น การใช้ Electors 3 เสียง ให้กับผู้ชนะคะแนนภายในรัฐ ก็ถือว่า Fair พอสมควรทีเดียว เพราะคะแนนของ Electors จะต้องไปรวมกันใน Electoral College ว่า เมื่อไรจะถึงครึ่งหนึ่ง (นั่นก็คือ Popular votes ภายใน Electoral College อีกครั้งหนึ่ง และ เกินครึ่งก็คือ 270 เสียง)
----------------------------------------------
ภายใน 100 ปีที่ผ่านมา มีการเสนอวิธีการแบบใหม่ในการใช้นับคะแนน เพื่อเลือกตัวประธานาธิบดีอย่างที่ทำอยู่นี้กัน หลายร้อยวิธีการ แต่เพราะว่า ความแตกต่างของแต่ละรัฐ มันทำให้การคำนวณ ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ และรวมกับเป็นที่ยอมรับของประชาชนด้วย หลักการของ Electoral College จึงยังคงอยู่ เพราะเป็นเรื่องที่ “เกือบแฟร์” ที่สุดแล้ว
เพื่อนๆ ที่เก่งเรื่องสถิติการคำนวณ น่าจะเสนอวิธีการที่คิดว่า แฟร์ที่สุดแล้วด้วย ในการเลือกผู้นำของประเทศจากหลายๆ รัฐ บางที ถ้าหลักการดี มีคนสนับสนุน ท่านก็อาจจะได้รับการบันทึกประวัติดีเด่นที่นี่ได้ด้วย
----------------------------------------------
ก่อนจะจบ ก็ขอเล่าให้ฟังเรื่องๆ หนึ่ง:
เมื่อ 16 ปีมาแล้ว คือ ครั้งที่ Al Gore ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรค Democrats แพ้การเลือกตั้งให้กับ George W. Bush เมื่อปี 2000 ทั้งๆ ที่ Popular votes ของ Al Gore มากกว่า George W. Bush เกือบครึ่งล้านเสียงก็ตาม
วุฒิสมาชิกใหม่เอี่ยมของรัฐ New York (Junior Senator) จาก พรรค Democrats โมโหในเรื่องนี้มากๆ และให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อถึงวาระการเปิดสมัยประชุมครั้งต่อไป จะเป็นผู้เสนอกฎหมายเรื่องนี้เข้าไปด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการนับคะแนนโหวต จาก Electoral Votes มาเป็น Popular votes ให้หมด
ในเวลานั้น มีคนเห็นชอบด้วยเป็นจำนวนมากที่ต้องการให้วิธีนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อสภาเปิดไปแล้ว ตัววุฒิสมาชิกท่านนี้ ก็ไม่ได้ดำเนินเรื่องนี้ต่อแต่อย่างใด มันก็เลยเริ่มค่อยๆ จางหายไปจากกระแสข่าว และสุดท้าย ก็กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไปในเวลาต่อมา
ลืมบอกไปว่า วุฒิสมาชิกผู้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเสนอเรื่องการนับคะแนนด้วยการเปลี่ยน Electoral Votes ให้กลายเป็น Popular Votes ในเวลานั้น ชื่อ่ ฮิลลารี่ คลินตั้น
Happy Weekend ค่ะ
Doungchampa Spencer-Isenberg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น