"วิกฤติวังผูกติดวิกฤติประชาธิปไตย"
1มกราคม 2558
โดย...กลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.)
ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่กองกำลังฝ่ายราชสำนักหวลกลับเข้าครองอำนาจเหนือฝ่ายคณะราษฎรและรวบอำนาจประเทศอย่างเบ็ดเสร็จนับแต่ปี2500เป็นต้นมาพร้อมทั้งจัดระบบอำนาจแฝงของกษัตริย์ในลักษณะ"มือที่มองไม่เห็น"จนการปกครองไทยได้กลายเป็นระบอบราชาธิปไตยและได้สร้างวิกฤติสะสมจนถึงวันนี้ไม่มีทางออกนอกจากจะเกิดการพังทะลายของระบอบราชาธิปไตยเอง
ตลอดเวลา50กว่าปีที่ผ่านมากษัตริย์ภูมิพลได้เพิ่มทวีอำนาจแฝงด้วยการโยนบาปความวุ่นวายของสังคมการเมืองไทยที่ตัวเองมีส่วนสำคัญในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังวิกฤติว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับทหารนั้นวันนี้ได้ปรากฎชัดแล้วว่าความขัดแย้งหลักของสังคมไทยคือความขัดแย้งระหว่างวังกับประชาชนคือ"วังไม่ยอมให้อำนาจเป็นของประชาชน"และล่าสุดจุดประทุที่สร้างตาสว่างทั้งแผ่นดินเมื่อใกล้สิ้นรัชกาลที่9คือความขัดแย้งแย่งชิงราชสมบัติระหว่างสมเด็จพระบรมฯและสมเด็จพระเทพฯอันเป็นบาปเคราะห์มาจากการรวมศูนย์อำนาจไว้กับราชสำนัก
ในช่วง10ปีที่ผ่านมาฝ่ายวังได้ใช้ลูกสมุนกลุ่มพันธมิตรและประชาธิปัตย์ร่วมก่อจราจลอย่างชัดแจ้งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้นำกองกำลังทหารสุนัขรับใช้ก่อรัฐประหารโค่นล้มอำนาจภายใต้วาทกรรมว่า"การเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย"ครั้งแล้วครั้งเล่าและปั้นพยานเท็จด้วยคำว่า"ทักษิณคือวิกฤติของประเทศ"แต่วันนี้บ่วงบาศที่วังได้เหวี่ยงใส่ทักษิณและระบอบประชาธิปไตยได้ย้อนกลับเข้าผูกแข้งผูกขามัดวิกฤติของวังเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ขนานนามว่า"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข"ทำให้เป้าโจมตีที่เคยรวมศูนย์อยู่ที่ตัวพตท.ทักษิณเคลื่อนไปสู่วิกฤติของวัง,ถึงวันนี้ไม่มีคำอธิบายแล้วว่าทำไมสังขารของกษัตริย์ภูมิพลที่ไม่สามารถจะบริหารประเทศได้แล้วแต่ทำไมจึงไม่ยอมถ่ายอำนาจไปสู่รัชกาลใหม่?,คำตอบเดียวที่ประชาชนไทยและคนทั้งโลกเข้าใจได้คือเกิดการแย่งชิงราชสมบัติภายในวังจนไม่อาจจะสถาปณารัชกาลที่10ได้นั่นเอง
แม้ก่อนสิ้นปีกษัตริย์ภูมิพลจะพยามลากสังขารออกมาโชว์ว่าตัวเองยังไม่ตายตามข่าวลือแต่สภาพที่เห็นก็ฟ้องตัวเองว่าหมดสภาพและหมดสติสัมปชัญญะแล้วเพราะตลอดเวลาของการถ่ายทอดร่างชายแก่ที่นั่งบนรถเข็นไม่อาจจะขยับอะไรได้แม้แต่การหันหน้าหรือขยับปากที่อ้าอยู่ตลอดเวลา
รูปธรรมที่ฟ้องตัวเองเด่นชัดคือรัฐประหาร22พฤษภาคม2557ที่คนสายพระเทพฯเช่นอธิการบดีหลายมหาวิทยาลัยที่นำมวลชนออกสมทบร่วมก่อจราจลกับกลุ่มกปปส.และแกนนำอาจารย์ลูกสมุนพระเทพฯที่แสดงตัวสนับสนุนการรัฐประหารก็ได้ขึ้นคุมสภาทั้งสอง,รวมทั้งการเตรียมการขึ้นดำรงตำแหน่งรัชกาลที่10ด้วยการปลดภาระที่เป็นเครื่องถ่วงหลังของพระบรมฯโดยจำเป็นต้องใช้พระวรฉายาศรีรัศมิ์เป็นแพะบูชายันต์และล่าสุดพลเอกเปรมประธานองคมนตรีก็ออกมารับสารภาพในโอกาสที่พลเอกประยุทธ์นำคณะเข้าเยี่ยยมคารวะอย่างมีเลศนัยว่า"พลเอกประยุทธ์ทำรัฐประหารเพื่อกษัตริย์ภูมิพล"
วิกฤติของวังจึงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองตลอดปี2558โดยเฉพาะในครึ่งปีแรกที่อาจจะต้องเกิดการเปลี่ยนอำนาจครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ภาวะการหมดสภาพของกษัตริย์ภูมิพลแต่กลับถูกลากดึงเพียงเพื่อใช้ชื่อกล่าวอ้างในฐานะประมุขแห่งรัฐต่อไปเพราะความไม่ลงตัวของความขัดแย้งภายในวังเช่นนี้ได้กลายเป็นตัวเร่งทำลายเศรฐกิจที่จะส่งผลให้เกิดการพังทะลายของระบอบราชาธิปไตยหนักหน่วงยิ่งขึ้นเพราะนับแต่นี้ไปกฎหมายและเอกสารของรัฐทั้งหมดที่มีลายเซ็นของกษัตริย์ในฐานะประมุขล้วนเป็นเอกสารปลอมทั้งสิ้นเพราะกษัตริย์ภูมิพลไม่อาจจะพิจารณาและจับปากกาลงนามได้แล้ว
วิกฤติความขัดแย้งในราชสำนักครั้งนี้มีนัยยะสำคัญทำให้ประชาชนตาสว่างถึงขั้นที่ประชาชนต้องเลือกเอาว่าจะเอาประชาธิปไตยหรือราชาธิปไตยเพราะวังและอำมาตย์ได้ปิดประตูทางออกของระบอบประชาธิปไตยแล้ว,โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาชนผู้ทุกข์ยากได้เข้าใจแล้วว่าความทุกข์ยากของพวกเขาเป็นผลโดยตรงจากความเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกของกษัตริย์ภูมิพล
นับแต่การปฏิเสธที่ไม่สามารถออกมาปรากฎพระองค์ต่อสาธารณชนในวันที่5ธันวาคมที่ผ่านมาท่ามกลางความขัดแย้งแย่งชิงราชบัลลังก์ของทั้งสองฝ่ายได้กลายเป็นจุดอันตรายที่สุดของวังที่จะนำไปสู่การพังทะลายของศรัทธาทั้งสมเด็จพระบรมฯและสมเด็จพระเทพฯไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นรัชกาลที่10เพราะประชาชนได้รู้ความจริงแล้วว่าผู้ที่มักมากในอำนาจทางการเมืองอย่างไร้ขอบเขตตัวจริงเสวยอำนาจอย่างมูมมามและไร้ศีลธรรมที่สุดไม่ใช่นักการเมืองและทหารแต่เป็นคนในครอบครัวกษัตริย์ที่หลอกหลวงประชาชนมายาวนานว่าเป็นผู้มีแต่ความพอเพียงนั่นเอง
ความขัดแย้งของวังได้เปิดช่องทางให้กลุ่มทหารภายใต้การนำของกลุ่ม3ป.(ประวิทย์-ป๊อก-ประยุทธ์) หาผลประโยชน์โดยฉกฉวยตักตวงอย่างตะกะตะกามโดยการอ้างสังขารกษัตริย์บังหน้าจะส่งผลให้การร่างรัฐธรรมนูญต้องขยายเวลาออกไปเกินกว่า1ปีตามเวลาที่คสช.เคยสัญญาไว้กับประชาชนเพราะคสช.จำเป็นจะต้องแน่ชัดว่าใครจะเป็นรัชกาลที่10เพราะรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องสอดคล้องและหนุนเนื่องอำนาจของรัชกาลใหม่ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนซึ่งภาวะความยืดเยื้อภายใต้ภาวะไร้ประมุขแห่งรัฐนี้จะกลายเป็นการเพิ่มทวีความขัดแย้งของฝ่ายต่างๆซึ่งจะทำให้คสช.เกิดความหวาดกลัวและฉวยโอกาสคงอำนาจกฎอัยการศึกไว้ถาวรซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจการลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ในภาวะวิกฤติของวังเช่นนี้ได้ทำให้ความคาดหวังที่จะมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเป็นไปไม่ได้เลยเพราะภาระกิจของการร่างรัฐธรรมนูญที่สมาชิกสภาร่างทุกคนเข้าใจคือต้องทำให้อำนาจพรรคการเมืองและอำนาจของประชาชนอ่อนแอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อมิให้เกิดการแข่งขันอำนาจกับการเถลิงถวัลศกใหม่ของรัชกาลใหม่
ปีใหม่2558จะกลายเป็นปีที่ปั่นป่วนยิ่งขึ้นกว่าปี2557จากภาวะความขัดแย้งที่ไม่ลงตัวและยากอย่างยิ่งที่จะลงตัว
----------จบ----------
วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557
จับกระแสปฏิวัติซ้อน เพราะอะไร? โดยใคร? เพื่อใคร?
ข่าวเสรีชน
จาก สถานการณ์ที่กำลังเป็นประเด็น เลยหยิบยกมาพูดคุย กับคำถามหนาหูในเวลานี้ "ปฏิวัติซ้อน" หากเท้าความไปช่วงก่อนยึดอำนาจ ประยุทธ์มักย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่มีการปฏิวัตแน่นอน จนดูเหมือนว่าสิ่งที่เหล่เคยพูดไว้ทำให้คนคลายสงสัย แต่แล้วเหล่เองต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อ 22 พ.ค.2557 ได้ทำการฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง แต่จะด้วยเพราะคำสั่งของใครที่ไฟเขียวต่องานนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ประจักต่อสายตาคนทั่วโลกแล้วว่า ประยุทธ์พร้อมทั้งคณะได้ทำการยึดอำนาจจากประชาชนอีกครั้ง เป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของโลก การยึดอำนาจครั้งนี้มิใช่การยึดอำนาจมาจากรัฐบาลของยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด เพราะรัฐบาลได้ประกาศยุบสภาแล้ว เป็นเพียงผู้รักษาการแทนเท่านั้น
เหตุปัจจัยหลักของการยึดอำนาจนั้นมาจากความต้องการรวบอำนาจไว้กับตัวเอง เพื่อรับกับการเปลี่ยนผ่านที่กำลังมาถึง นั่นคือวาระแห่งการดับสิ้นของกษัตริย์ภูมิพล เมื่อถึงตอนนั้นต้องหาผู้ที่เหมาะสมขึ้นมาแทนกษัตริย์องค์เก่า หรืออีกเหตุผลหนึ่ง อาจนำไปสู่การเปลี่ยนระบอบใหม่ก็เป็นได้ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั้นก็คือ อำนาจตอนนี้ตกอยู่กับคณะยึดอำนาจและคณะองคมนตรี ส่วนสถาบันไม่ต้องพูดถึง เพราะหมดอำนาจจากการยึดอำนาจในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ยังเห็นว่ามีการแต่งตั้งคนนั้นคนนี้ เป็นเพียงระบบจารีตปฏิบัติกันเท่านั้นเพื่อให้เกิดความชอบธรรม โดยการกระทำทุกอย่าง มีผู้รับสนองเรื่องอย่างเป็นระบบ การยึดอำนาจครั้งนี้ถึงแม้ไม่อาจรวบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังดูว่าพวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้พอสมควร จากการตรึงกฎอัยการศึกไว้โดยไม่มีกำหนดยกเลิก เป็นการสกัดกั้นฝ่ายตรงข้ามที่จ้องจะเล่นงานพวกเขา และสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง แต่สิ่งที่พวกเขากระทำการในครั้งนี้ ส่งผลให้ฝ่ายประชาธิปไตยตื่นตัวมากถึงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีการโจมตีกันอย่างหนักทางโลกไซเบอร์ ทั้งในและนอกประเทศอย่างเป็นระบบ และดูเหมือนจะชิงความได้เปรียบในสมรภูมินี้ มีการปิดและบล็อคทั้งเว็บไซด์ เฟสบุ๊ค และปล่อยข่าวลวงออกมาเป็นระยะเพื่อสกัดกั้นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ดูเหมือนว่ายิ่งปิดก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ เป็นปัญหาใหญ่กับคณะยึดอำนาจในครั้งนี้ พร้อมกับระบบเศรษฐกิจที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ แต่เรามาวิเคราะห์ดูว่า จากข่าว การปฏิวัติซ้อน ที่กำลังเป็นประเด็นในตอนนี้ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะมีรายละเอียดพอสมควร แต่หากมองตามสภาพเป็นจริงอาจเป็นไปได้ว่า หากปฏิวัติจริง ก็เพื่อหาทางลง แต่ก็เป็นการยึดอำนาจตัวเอง เพียงแต่ว่า หากเป็นการยึดอำนาจจากอีกฝ่าย นี่ยังเป็นคำถามว่า ยึดแล้วจะยึดให้ใคร มีเหตุผลอะไร...ซึ่งไม่ว่าใครที่จะยึดอำนาจต่างส่งผลเสียต่อประเทศชาติอย่าง รุนแรง หรือเป็นเพียงการปล่อยข่าวเพื่อเบี่ยงประเด็น ซึ่งจะจริงหรือเท็จ คำตอบมันรอเราอยู่
แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้ลองวิเคราะห์ดู จะถูกหรือไม่ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ .....เหตุผลของคณะยึดอำนาจ ทำการยึดอำนาจในครั้งนี้ก็คือรวบอำนาจไว้กับตัวเอง กับช่วงปลายราชการ ซึ่งหากศึกษาจากประวัติศาสตร์ก็มักจะเกิดเหตุอย่างนี้เป็นประจำ เพียงแต่ล่ะยุคแต่ล่ะสมัยมีการปกครองในระบอบหรือระบบที่ต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันก็เช่นกัน เมื่อรัฐธรรมนูญถูกทำลายลง อำนาจทุกอย่างจึงตกอยู่กับคณะยึดอำนาจ สังเกตจากมาตราที่ 44 ที่ให้อำนาจมากมาย หรือจะพูดว่า องค์รัฐฐาธิปัตย์ก็ย่อมได้ แล้วมาวิเคราะห์ต่อถึงอำนาจที่มีจะสามารถกำหนดแนวทางหรือสามารถเปลี่ยนระบอบ ได้หรือไม่ เรื่องนี้น่าคิด แต่หากจะเปลี่ยน..จะเปลี่ยนเป็นระบอบอะไร แต่หัวใจสำคัญของระบอบนั้นคือผู้นำหรือประมุขนั่นเอง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่คุยกันมานาน และจะกินเวลาตลอดปี 2558 แน่นอน พร้อมๆกับการร่างรัฐธรรมนูญ คำถามต่อไปคือ เมื่อคณะยึดอำนาจได้กุมอำนาจไว้ในมืออย่างเข้มแข็ง การจะนำทางประเทศไปสู่ทิศทางไหนย่อมจะทำได้ไม่ยาก ..แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะลงจาอำนาจง่ายๆหรือจะยอมให้อีกฝ่ายเข้า จัดการตัวเองได้อย่างไร ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ระบอบเผด็จการทหารแม้จะอยู่ใต้แทบเท้าภูมิพลมาหลายทศวรรษ หลังสิ้นยุค จอมพล ป. สฤษดิ์ ถนอม ประภาส เรื่อยมาจนถึงยุคประวิตร ประยุทธ์ พวกเขาอาจต้องการฟื้นฟูเผด็จการทหารขึ้นมาเหนือกษัตริย์ก็เป็นได้ หรืออาจจะไม่มีสถาบันต่อไปก็เป็นได้ จากความไม่เหมาะสมของทายาท หรือเรื่องฉาวๆที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ซึ่งเป็นประเด็นสาธารณะไปแล้ว สำหรับการสรรหาผู้ที่จะขึ้นเป็น ร.10 มิใช่เรื่องของครอบครัวหรือคณะที่เกี่ยวข้องเท่านั้นอีกต่อไป ช่วยกันคิดนะครับ ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะจบหรืออาจบานปลายอย่างไร
เอาไว้โอกาสต่อไป จะชวนคุยเรื่องความชอบธรรมของสองพี่น้อง ว่าดีพอที่จะขึ้นหรือไม่ รวมถึงเปรมขันทีเฒ่าผู้ทะเยอทะยานอย่างไร
จาก สถานการณ์ที่กำลังเป็นประเด็น เลยหยิบยกมาพูดคุย กับคำถามหนาหูในเวลานี้ "ปฏิวัติซ้อน" หากเท้าความไปช่วงก่อนยึดอำนาจ ประยุทธ์มักย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่มีการปฏิวัตแน่นอน จนดูเหมือนว่าสิ่งที่เหล่เคยพูดไว้ทำให้คนคลายสงสัย แต่แล้วเหล่เองต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อ 22 พ.ค.2557 ได้ทำการฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง แต่จะด้วยเพราะคำสั่งของใครที่ไฟเขียวต่องานนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ประจักต่อสายตาคนทั่วโลกแล้วว่า ประยุทธ์พร้อมทั้งคณะได้ทำการยึดอำนาจจากประชาชนอีกครั้ง เป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของโลก การยึดอำนาจครั้งนี้มิใช่การยึดอำนาจมาจากรัฐบาลของยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด เพราะรัฐบาลได้ประกาศยุบสภาแล้ว เป็นเพียงผู้รักษาการแทนเท่านั้น
เหตุปัจจัยหลักของการยึดอำนาจนั้นมาจากความต้องการรวบอำนาจไว้กับตัวเอง เพื่อรับกับการเปลี่ยนผ่านที่กำลังมาถึง นั่นคือวาระแห่งการดับสิ้นของกษัตริย์ภูมิพล เมื่อถึงตอนนั้นต้องหาผู้ที่เหมาะสมขึ้นมาแทนกษัตริย์องค์เก่า หรืออีกเหตุผลหนึ่ง อาจนำไปสู่การเปลี่ยนระบอบใหม่ก็เป็นได้ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั้นก็คือ อำนาจตอนนี้ตกอยู่กับคณะยึดอำนาจและคณะองคมนตรี ส่วนสถาบันไม่ต้องพูดถึง เพราะหมดอำนาจจากการยึดอำนาจในครั้งนี้ แต่สิ่งที่ยังเห็นว่ามีการแต่งตั้งคนนั้นคนนี้ เป็นเพียงระบบจารีตปฏิบัติกันเท่านั้นเพื่อให้เกิดความชอบธรรม โดยการกระทำทุกอย่าง มีผู้รับสนองเรื่องอย่างเป็นระบบ การยึดอำนาจครั้งนี้ถึงแม้ไม่อาจรวบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังดูว่าพวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้พอสมควร จากการตรึงกฎอัยการศึกไว้โดยไม่มีกำหนดยกเลิก เป็นการสกัดกั้นฝ่ายตรงข้ามที่จ้องจะเล่นงานพวกเขา และสามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง แต่สิ่งที่พวกเขากระทำการในครั้งนี้ ส่งผลให้ฝ่ายประชาธิปไตยตื่นตัวมากถึงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีการโจมตีกันอย่างหนักทางโลกไซเบอร์ ทั้งในและนอกประเทศอย่างเป็นระบบ และดูเหมือนจะชิงความได้เปรียบในสมรภูมินี้ มีการปิดและบล็อคทั้งเว็บไซด์ เฟสบุ๊ค และปล่อยข่าวลวงออกมาเป็นระยะเพื่อสกัดกั้นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ดูเหมือนว่ายิ่งปิดก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ เป็นปัญหาใหญ่กับคณะยึดอำนาจในครั้งนี้ พร้อมกับระบบเศรษฐกิจที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ แต่เรามาวิเคราะห์ดูว่า จากข่าว การปฏิวัติซ้อน ที่กำลังเป็นประเด็นในตอนนี้ว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะมีรายละเอียดพอสมควร แต่หากมองตามสภาพเป็นจริงอาจเป็นไปได้ว่า หากปฏิวัติจริง ก็เพื่อหาทางลง แต่ก็เป็นการยึดอำนาจตัวเอง เพียงแต่ว่า หากเป็นการยึดอำนาจจากอีกฝ่าย นี่ยังเป็นคำถามว่า ยึดแล้วจะยึดให้ใคร มีเหตุผลอะไร...ซึ่งไม่ว่าใครที่จะยึดอำนาจต่างส่งผลเสียต่อประเทศชาติอย่าง รุนแรง หรือเป็นเพียงการปล่อยข่าวเพื่อเบี่ยงประเด็น ซึ่งจะจริงหรือเท็จ คำตอบมันรอเราอยู่
แต่สิ่งที่ผู้เขียนได้ลองวิเคราะห์ดู จะถูกหรือไม่ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ .....เหตุผลของคณะยึดอำนาจ ทำการยึดอำนาจในครั้งนี้ก็คือรวบอำนาจไว้กับตัวเอง กับช่วงปลายราชการ ซึ่งหากศึกษาจากประวัติศาสตร์ก็มักจะเกิดเหตุอย่างนี้เป็นประจำ เพียงแต่ล่ะยุคแต่ล่ะสมัยมีการปกครองในระบอบหรือระบบที่ต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันก็เช่นกัน เมื่อรัฐธรรมนูญถูกทำลายลง อำนาจทุกอย่างจึงตกอยู่กับคณะยึดอำนาจ สังเกตจากมาตราที่ 44 ที่ให้อำนาจมากมาย หรือจะพูดว่า องค์รัฐฐาธิปัตย์ก็ย่อมได้ แล้วมาวิเคราะห์ต่อถึงอำนาจที่มีจะสามารถกำหนดแนวทางหรือสามารถเปลี่ยนระบอบ ได้หรือไม่ เรื่องนี้น่าคิด แต่หากจะเปลี่ยน..จะเปลี่ยนเป็นระบอบอะไร แต่หัวใจสำคัญของระบอบนั้นคือผู้นำหรือประมุขนั่นเอง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่คุยกันมานาน และจะกินเวลาตลอดปี 2558 แน่นอน พร้อมๆกับการร่างรัฐธรรมนูญ คำถามต่อไปคือ เมื่อคณะยึดอำนาจได้กุมอำนาจไว้ในมืออย่างเข้มแข็ง การจะนำทางประเทศไปสู่ทิศทางไหนย่อมจะทำได้ไม่ยาก ..แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะลงจาอำนาจง่ายๆหรือจะยอมให้อีกฝ่ายเข้า จัดการตัวเองได้อย่างไร ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ระบอบเผด็จการทหารแม้จะอยู่ใต้แทบเท้าภูมิพลมาหลายทศวรรษ หลังสิ้นยุค จอมพล ป. สฤษดิ์ ถนอม ประภาส เรื่อยมาจนถึงยุคประวิตร ประยุทธ์ พวกเขาอาจต้องการฟื้นฟูเผด็จการทหารขึ้นมาเหนือกษัตริย์ก็เป็นได้ หรืออาจจะไม่มีสถาบันต่อไปก็เป็นได้ จากความไม่เหมาะสมของทายาท หรือเรื่องฉาวๆที่เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ซึ่งเป็นประเด็นสาธารณะไปแล้ว สำหรับการสรรหาผู้ที่จะขึ้นเป็น ร.10 มิใช่เรื่องของครอบครัวหรือคณะที่เกี่ยวข้องเท่านั้นอีกต่อไป ช่วยกันคิดนะครับ ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจะจบหรืออาจบานปลายอย่างไร
เอาไว้โอกาสต่อไป จะชวนคุยเรื่องความชอบธรรมของสองพี่น้อง ว่าดีพอที่จะขึ้นหรือไม่ รวมถึงเปรมขันทีเฒ่าผู้ทะเยอทะยานอย่างไร
วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ความจริงที่ต้องคิดวิกฤติสถาบันกษัตริย์คือปัญหาเราจะฝ่าข้ามได้อย่างไร?
ข่าวกอท.เสรีไทย:
ความจริงที่ต้องคิดวิกฤติสถาบันกษัตริย์คือปัญหาเราจะฝ่าข้ามได้อย่างไร? (ฟังจอมสัมภาษณ์ จักรภพ เพ็ญแข)
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
----------------------
ความเปราะบาง"สถาบันกษัตริย์ไทย"ความจำเป็นที่ต้องปฎิรูป
http://youtu.be/MKN8j3lVaPk
ความจริงที่ต้องคิดวิกฤติสถาบันกษัตริย์คือปัญหาเราจะฝ่าข้ามได้อย่างไร? (ฟังจอมสัมภาษณ์ จักรภพ เพ็ญแข)
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
----------------------
ความเปราะบาง"สถาบันกษัตริย์ไทย"ความจำเป็นที่ต้องปฎิรูป
http://youtu.be/MKN8j3lVaPk
วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์: ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์ไม่มีรอดสักราย
10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์:ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์ไม่มีรอดสักราย
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน 2475 ของคณะราษฎรเพื่อให้อำนาจอธิปไตยทั้งสามที่เป็นของกษัตริย์โอนมาเป็นของประชาชน,แต่มีหนึ่งในอำนาจนั้นที่คณะราษฎรไม่ได้แตะต้องเลยคือ"ศาล",ดังนั้นอำนาจตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยจึงเป็นอำนาจของกษัตริย์โดยสมบูรณ์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาก่อน
โดยหลักการและตามความเป็นจริงที่ผ่านมาใครก็ตามที่มีคดีความกับกษัตริย์หรือกับครอบครัวของกษัตริย์ศาลจะตัดสินให้แพ้ทั้งนั้นดังเช่นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวมถึงใครก็ฟ้องกษัตริย์และครอบครัวของกษัตริย์ต่อศาลไม่ได้และถ้าใครขืนฟ้องก็เดินไม่ทันถึงศาลก็จะเกิดอาการหัวใจขาดเลือดโดยไม่รู้สาเหตุมาก่อน,ตามความเป็นจริงมีข่าวการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหรือการตายอย่างลึกลับของหลายคน(แต่ทุกคนรู้ว่าคนในครอบครัวกษัตริย์เป็นคนสั่งฆ่าเช่นนางศิรินทิพย์ดาราหนัง,นายประเสริฐ เลขาฟ้าหญิงอุบลรัตน์และล่าสุดพ.ต.อ.อัครวุฒิ ที่ตกตึกตายในค่ายทหารเป็นต้น)แต่ไม่มีญาติผู้ตายคนใหนกล้าแม้แต่จะร้องเรียน,และนับแต่การตายของรัชกาลที่8 กษัตริย์ภูมิพลก็ยิ่งเห็นถึง"พลังอำนาจตุลาการ"ที่ศาลบางคนได้เข้าช่วยเหลือจนพ้นจากการดำเนินคดีโดยศาลตัดสินบิดเบือนโยนความผิดให้ข้าราชบริพาร3คนรับเคราะห์แทนและตัดสินประหารชีวิตจึงทำให้กษัตริย์ภูมิพลเกาะติดกับผู้พิพากษามากขึ้นไม่น้อยไปกว่าการเกาะติดอำนาจทหารเราจะเห็นได้จากการเลือกสรรคณะองคมนตรีจะมีแต่ข้าราชการสองสายอาชีพที่ถูกเรียกให้เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดจำนวนมากที่สุดคือทหารกับ"ศาล"รวมถึงการแจกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองหลังการรัฐประหารทุกครั้งนอกจากมีทหารเป็นหลักแล้วก็จะมีผู้พิพากษาหรือศาลมีส่วนร่วมมากที่สุดดังจะเห็นตั้งแต่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี,นายประกอบ หุตะสิงห์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการฆ่าประชาชนเมื่อ14 ตุลาคม 2516 ,นายธานินท์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรีในเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุดเมื่อ 6 ตุลาคม2519และยิ่งในโลกยุคใหม่ที่ต้องการให้การบริหารรัฐมีกติตาที่ชัดเจนแต่กษัตริย์ภูมิพลกลับไม่ยอมเคารพกติตาเราจึงเห็นการขนผู้พิพากษาออกมาเล่นการเมืองในทุกรูปแบบมากที่สุดเพื่อให้การควบคุมอำนาจเป็นไปตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพล
ต้องยอมรับความจริงว่าการรัฐประหารและการสังหารหมู่ประประชาชนในโลกยุคใหม่นั้นทำไม่ได้แล้วแต่เพราะกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัวยังคงต้องการรักษาอำนาจแบบโบราณไว้ไม่ยอมให้เกิดการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเพราะไม่ต้องการให้อำนาจหลุดจากมือของตนและครอบครัวไปเป็นของประชาชนการรัฐประหารและการสังหารประชาชนที่พระองค์ทรงระแวงสงสัยว่าจะเป็นอันตรายต่อการถือครองอำนาจของตนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้นักกฎหมายมาออกรูปแบบโครงสร้างอำนาจให้ริดรอนอำนาจของประชาชนและซ่อนอำนาจของกษัตริย์แฝงไว้ทุกขั้นตอนแต่หากพระองค์ยังไม่พอพระทัยก็จะเกิดการส่งสัญญานให้ทำรัฐประหารอีกแล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่อีกเพื่อให้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พระองค์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นการรัฐประหาญฉีกรัฐธรรมนูญอยู่เสมอในประเทศไทยและมีการนิรโทษกรรมอย่างง่ายๆโดยความเห็นชอบของกษัตริย์ภูมิพล
นอกจากนี้ศาลไทยยังอุกอาจกล้าที่จะปกป้องคุ้มครองการสังหารประชาชนตามพระราชประสงค์ด้วยดังจะเห็นได้ว่าการสังหารหมู่ประชาชนโดยทหารของพระราชาที่เกิดขึ้นหลายครั้งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดแต่ปรากฎว่าผู้กระทำผิดไม่เคยถูกดำเนินคดีเลยหรือแม้หากศาลจำเป็นจะต้องรับฟ้องแต่สุดท้ายก็จะตัดสินยกฟ้องหรือทำให้คดีต้องเกิดการชะงักงันดำเนินต่อไม่ได้เช่นการสั่งจำหน่ายคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกฟ้องเป็นจำเลยในข้อหาเป็นออกคำสั่งสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปี2553 ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าทั้งสองคนนี้เป็นหุ่นเชิดของกษัตริย์ภูมิพลและราชินีที่อยู่เบื้องหลัง(เป็นที่มาของข้อความว่าไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั่งยิง)เป็นต้น
ด้วยเหตุที่กษัตริย์ภูมิพลต้องการให้อำนาจสูงสุดอยู่ในมือตนเองนี้จึงจำเป็นต้องสร้างอิทธิพลครอบงำกระบวนการยุติธรรมโดยส่งเสริมวาทกรรมว่า"ศาลคือตัวแทนพระมหากษัตริย์"(ไม่ต่างอะไรกับฑูตคือตัวแทนของพระมหากษัตริย์หรือทหารพระราชา)ก็ยิ่งทำให้ศาลออกห่างจากประชาชนและออกห่างจากความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น และในภาคปฏิบัติก็ได้เลือกเฟ้นบุคคลที่พร้อมจะเป็นสุนัขรับใช้มากลุ่มหนึ่งเพื่อทำการล้างสมองโดยมอบทุนส่วนพระองค์ให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศและก่อนจะเดินทางไปก็ให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเมื่อกลับมาก็ได้รับปูนบำเหน็จรางวัลและให้เกิดความหวังอันสูงสุดว่าถ้าศาลคนใดรับใช้ตามพระราชประสงค์ทุกอย่างจนพอพระทัยก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีและได้ดิบได้ดีในชีวิตดังเช่นนายสัญญา ธรรมศักดิ์,นายธานินท์ กรัยวิเชียร,นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ เป็นตัวอย่าง,ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องถามว่าทำไมคนเรียนเก่งเฉลียวฉลาดอย่างนายจรัล ภักดีธนากุลหรือนายสุพจน์ ไข่มุก ที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือนายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาที่ผันตัวมาเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้จึงกล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ผิดและละเมิดหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่ใครฟังก็รู้ว่าไร้เหตุผลเช่น"ให้ราดยางถนนให้หมดก่อนค่อยคิดทำรถไฟความเร็วสูง"เป็นต้น
ภาวะการณ์ที่ศาลแสดงตัวรับใช้ถวายชีวิตให้แก่กษัตริย์ภูมิพลในบั้นปลายชีวิตที่ทรงอำนาจมากที่สุดนี้ได้เปิดเผยตัวตนของกระบวนการยุติธรรมไทยว่าเป็น"กระบวนการยุติธง"คือตัดสินคดีตามธงคำสั่งที่ส่งผ่านคนใกล้ชิดหรือหุ่นเชิดเช่นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงทำให้ระบบสังคมการเมืองไทยปั่นป่วนที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
--------------------
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่3 ศาลเป็นของกษัตริย์:ใครเจอข้อหาหมิ่นกษัตริย์ไม่มีรอดสักราย
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน 2475 ของคณะราษฎรเพื่อให้อำนาจอธิปไตยทั้งสามที่เป็นของกษัตริย์โอนมาเป็นของประชาชน,แต่มีหนึ่งในอำนาจนั้นที่คณะราษฎรไม่ได้แตะต้องเลยคือ"ศาล",ดังนั้นอำนาจตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตยจึงเป็นอำนาจของกษัตริย์โดยสมบูรณ์ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาก่อน
โดยหลักการและตามความเป็นจริงที่ผ่านมาใครก็ตามที่มีคดีความกับกษัตริย์หรือกับครอบครัวของกษัตริย์ศาลจะตัดสินให้แพ้ทั้งนั้นดังเช่นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวมถึงใครก็ฟ้องกษัตริย์และครอบครัวของกษัตริย์ต่อศาลไม่ได้และถ้าใครขืนฟ้องก็เดินไม่ทันถึงศาลก็จะเกิดอาการหัวใจขาดเลือดโดยไม่รู้สาเหตุมาก่อน,ตามความเป็นจริงมีข่าวการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหรือการตายอย่างลึกลับของหลายคน(แต่ทุกคนรู้ว่าคนในครอบครัวกษัตริย์เป็นคนสั่งฆ่าเช่นนางศิรินทิพย์ดาราหนัง,นายประเสริฐ เลขาฟ้าหญิงอุบลรัตน์และล่าสุดพ.ต.อ.อัครวุฒิ ที่ตกตึกตายในค่ายทหารเป็นต้น)แต่ไม่มีญาติผู้ตายคนใหนกล้าแม้แต่จะร้องเรียน,และนับแต่การตายของรัชกาลที่8 กษัตริย์ภูมิพลก็ยิ่งเห็นถึง"พลังอำนาจตุลาการ"ที่ศาลบางคนได้เข้าช่วยเหลือจนพ้นจากการดำเนินคดีโดยศาลตัดสินบิดเบือนโยนความผิดให้ข้าราชบริพาร3คนรับเคราะห์แทนและตัดสินประหารชีวิตจึงทำให้กษัตริย์ภูมิพลเกาะติดกับผู้พิพากษามากขึ้นไม่น้อยไปกว่าการเกาะติดอำนาจทหารเราจะเห็นได้จากการเลือกสรรคณะองคมนตรีจะมีแต่ข้าราชการสองสายอาชีพที่ถูกเรียกให้เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดจำนวนมากที่สุดคือทหารกับ"ศาล"รวมถึงการแจกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งสำคัญๆทางการเมืองหลังการรัฐประหารทุกครั้งนอกจากมีทหารเป็นหลักแล้วก็จะมีผู้พิพากษาหรือศาลมีส่วนร่วมมากที่สุดดังจะเห็นตั้งแต่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี,นายประกอบ หุตะสิงห์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการฆ่าประชาชนเมื่อ14 ตุลาคม 2516 ,นายธานินท์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรีในเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุดเมื่อ 6 ตุลาคม2519และยิ่งในโลกยุคใหม่ที่ต้องการให้การบริหารรัฐมีกติตาที่ชัดเจนแต่กษัตริย์ภูมิพลกลับไม่ยอมเคารพกติตาเราจึงเห็นการขนผู้พิพากษาออกมาเล่นการเมืองในทุกรูปแบบมากที่สุดเพื่อให้การควบคุมอำนาจเป็นไปตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพล
ต้องยอมรับความจริงว่าการรัฐประหารและการสังหารหมู่ประประชาชนในโลกยุคใหม่นั้นทำไม่ได้แล้วแต่เพราะกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัวยังคงต้องการรักษาอำนาจแบบโบราณไว้ไม่ยอมให้เกิดการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเพราะไม่ต้องการให้อำนาจหลุดจากมือของตนและครอบครัวไปเป็นของประชาชนการรัฐประหารและการสังหารประชาชนที่พระองค์ทรงระแวงสงสัยว่าจะเป็นอันตรายต่อการถือครองอำนาจของตนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้นักกฎหมายมาออกรูปแบบโครงสร้างอำนาจให้ริดรอนอำนาจของประชาชนและซ่อนอำนาจของกษัตริย์แฝงไว้ทุกขั้นตอนแต่หากพระองค์ยังไม่พอพระทัยก็จะเกิดการส่งสัญญานให้ทำรัฐประหารอีกแล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่อีกเพื่อให้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พระองค์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นการรัฐประหาญฉีกรัฐธรรมนูญอยู่เสมอในประเทศไทยและมีการนิรโทษกรรมอย่างง่ายๆโดยความเห็นชอบของกษัตริย์ภูมิพล
นอกจากนี้ศาลไทยยังอุกอาจกล้าที่จะปกป้องคุ้มครองการสังหารประชาชนตามพระราชประสงค์ด้วยดังจะเห็นได้ว่าการสังหารหมู่ประชาชนโดยทหารของพระราชาที่เกิดขึ้นหลายครั้งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดแต่ปรากฎว่าผู้กระทำผิดไม่เคยถูกดำเนินคดีเลยหรือแม้หากศาลจำเป็นจะต้องรับฟ้องแต่สุดท้ายก็จะตัดสินยกฟ้องหรือทำให้คดีต้องเกิดการชะงักงันดำเนินต่อไม่ได้เช่นการสั่งจำหน่ายคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกฟ้องเป็นจำเลยในข้อหาเป็นออกคำสั่งสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปี2553 ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าทั้งสองคนนี้เป็นหุ่นเชิดของกษัตริย์ภูมิพลและราชินีที่อยู่เบื้องหลัง(เป็นที่มาของข้อความว่าไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั่งยิง)เป็นต้น
ด้วยเหตุที่กษัตริย์ภูมิพลต้องการให้อำนาจสูงสุดอยู่ในมือตนเองนี้จึงจำเป็นต้องสร้างอิทธิพลครอบงำกระบวนการยุติธรรมโดยส่งเสริมวาทกรรมว่า"ศาลคือตัวแทนพระมหากษัตริย์"(ไม่ต่างอะไรกับฑูตคือตัวแทนของพระมหากษัตริย์หรือทหารพระราชา)ก็ยิ่งทำให้ศาลออกห่างจากประชาชนและออกห่างจากความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น และในภาคปฏิบัติก็ได้เลือกเฟ้นบุคคลที่พร้อมจะเป็นสุนัขรับใช้มากลุ่มหนึ่งเพื่อทำการล้างสมองโดยมอบทุนส่วนพระองค์ให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศและก่อนจะเดินทางไปก็ให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดเมื่อกลับมาก็ได้รับปูนบำเหน็จรางวัลและให้เกิดความหวังอันสูงสุดว่าถ้าศาลคนใดรับใช้ตามพระราชประสงค์ทุกอย่างจนพอพระทัยก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีและได้ดิบได้ดีในชีวิตดังเช่นนายสัญญา ธรรมศักดิ์,นายธานินท์ กรัยวิเชียร,นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ เป็นตัวอย่าง,ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องถามว่าทำไมคนเรียนเก่งเฉลียวฉลาดอย่างนายจรัล ภักดีธนากุลหรือนายสุพจน์ ไข่มุก ที่เป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือนายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาที่ผันตัวมาเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้จึงกล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ผิดและละเมิดหลักเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่ใครฟังก็รู้ว่าไร้เหตุผลเช่น"ให้ราดยางถนนให้หมดก่อนค่อยคิดทำรถไฟความเร็วสูง"เป็นต้น
ภาวะการณ์ที่ศาลแสดงตัวรับใช้ถวายชีวิตให้แก่กษัตริย์ภูมิพลในบั้นปลายชีวิตที่ทรงอำนาจมากที่สุดนี้ได้เปิดเผยตัวตนของกระบวนการยุติธรรมไทยว่าเป็น"กระบวนการยุติธง"คือตัดสินคดีตามธงคำสั่งที่ส่งผ่านคนใกล้ชิดหรือหุ่นเชิดเช่นพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงทำให้ระบบสังคมการเมืองไทยปั่นป่วนที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
--------------------
วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ทำไมไทย ต้องลงสัตยาบันกับ ICC ? ทำไมการลงสัตยาบัน กับ ICC จึงยังไม่สำเร็จ? โดย สุนัย จุลพงศธร
โดย สุนัย จุลพงศธร
อดีตประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเทศไทย
----------
ลักษณะประการหนึ่งของประเทศด้อยพัฒนาทางการเมืองทั้งหลาย ก็คือการมีโครงสร้างรัฐเป็นเผด็จการทหาร ซึ่งทำให้ยากจะพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยเองก็เป็นเช่นนั้น ทั้งยังมีความยากลำบากยิ่งกว่า เนื่องด้วยโครงสร้างของสถาบันทางการเมืองมีความซับซ้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทหารและสถาบันกษัตริย์ ดังที่เห็นได้จากการรัฐประหารที่ผ่านมา ซึ่งการเข้ามาพัวพันของสถาบันดังกล่าวทางการเมืองนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ กระบวนการยุติธรรมทั้งหมดเกิดความล่าช้าติดขัด
นับแต่ปี ค.ศ. 1973 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ข้าพเจ้าได้ประจักษ์แก่ตาตัวเอง ซึ่งอาชญากรรมที่ทหารกระทำต่อประชาชน การฆ่าหมู่อย่างโหดร้ายเกิดขึ้นมากกว่า 5 ครั้ง โดยที่ไม่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ กับทั้งยังมีการเข่นฆ่าคุกคามประชาชนอย่างไม่ชัดแจ้งเกิดขึ้นหลายครั้งและ ต่อเนื่องกันจนนับครั้งไม่ถ้วน รวมตลอดถึงการก่ออาชญากรรมหลากหลายลักษณะของกลุ่มการเมืองที่ได้รับการหนุน หลังจากอำนาจเผด็จการเชิงโครงสร้าง เพื่อขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การเข้ายึดสนามบินนานาชาติของประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ. 2009 ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้นับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว แต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่สามารถแม้แต่จะเริ่มต้นดำเนินการกับผู้กระทำ ผิดได้ ทั้งที่หลักฐานต่างๆ ล้วนปรากฏอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม
ข้าพเจ้าทราบถึงปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าวข้างต้นเป็นอย่างดี และเชื่อว่าในอนาคตจะเกิดการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าในอดีต เนื่องเพราะความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจในโครงสร้างการเมืองไทยซึ่งอยู่ในระยะ เวลาที่มีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งดังเช่นในเวลาปัจจุบันนี้
----------
ด้วยเหตุนี้ ในขณะที่ข้าพเจ้ายังดำรงตำแหน่งอยู่ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าควรใช้สถานภาพของตนเองในการช่วยยับยั้งและหยุดเหตุการณ์ ที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชน และข้าพเจ้าเห็นว่าศาลอาญาระหว่างประเทศนี้เป็นทั้งองค์กรสำคัญและความหวัง ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันจะสามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้แก่ประชาชน ไทยได้
----------
ดังนั้น ข้าพเจ้า ในฐานะที่เป็นประธานกรรมาธิการการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรประเทศไทย จึงได้ดำเนินการขับเคลื่อน เพื่อให้ประเทศไทยได้ลงสัตยาบันเป็นสมาชิก ICC โดยสมบูรณ์ หลังจากที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามเป็นสมาชิก ICC ในเบื้องต้นเมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2000 ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองได้รู้ถึงอุปสรรคที่ขัดขวางทั้งขั้นตอนทางกฎหมายและทาง ปฏิบัตินั้น แต่ข้าพเจ้าก็ได้ใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดโดยได้ดำเนินการไปแล้วดังนี้
1. ข้าพเจ้าได้เดินทางไปเยี่ยมคารวะท่านประธานICC ที่กรุงเฮก 2 ครั้ง คือในปี ค.ศ. 2011 และ 2012 และมีข้อน่าสังเกตที่สำคัญว่า เพียงแค่มีข่าวว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปเยี่ยมคารวะประธาน ICC ในครั้งแรกนั้น ก็ได้รับการแถลงข่าวคัดค้านอย่างเปิดเผยจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งในขณะนี้ก็เป็นผู้นำกองทหารทำรัฐประหารและได้รับการแต่งตั้งลงนามให้ เป็นนายกรัฐมนตรี
2. การพบกับประธาน ICC ทั้งสองครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้หารือและติดตามการฟ้องร้องดำเนินคดีกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในข้อหาสั่งให้ทหารออกมาฆ่าประชาชนไทยในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2010 ดังที่ทนายความชื่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ชาวแคนาดา ในฐานะตัวแทนผู้เสียชีวิตชาวไทย เป็นผู้ยื่นฟ้องคดี และได้ทำการหารือเพื่อจะเชิญท่านประธาน ICC มาเยือนประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่บุคคลต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิพากษา ทหาร และตำรวจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเห็นประโยชน์ของ ICC ในการคุ้มครองชีวิตประชาชน ด้วยกฎหมายระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้าพเจ้าได้ดำเนินการจัดเตรียมการสัมมนาดังกล่าวที่รัฐสภาไทย และท่านประธาน ICC ก็ได้มีหนังสือตอบรับการจะเดินทางมาประเทศไทยแล้วในกลางปี ค.ศ. 2013 แต่ทว่าในช่วงเวลาดังกล่าวก็เกิดการจลาจลในประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การล้มระบอบประชาธิปไตยจนเกิดเป็นภาวะ วิกฤติในขณะนี้ และมีผลให้ท่านประธาน ICC ไม่สามารถเดินทางมาเยือนประเทศไทยได้
3. ตลอดระยะเวลาของปี ค.ศ. 2012 เชื่อมต่อกับปี ค.ศ. 2013 ข้าพเจ้า ในนามกรรมาธิการต่างประเทศฯ ได้ทำการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชนในประเทศไทยมากกว่า 10 ครั้ง และได้ประสานงานกับองค์กร CICC โดยติดต่อประสานงานกับนางเอเวอลีน และได้เชิญให้มาเข้าร่วมการสัมมนาย่อยที่จัดขึ้นในรัฐสภาของไทยด้วย และ ข้าพเจ้ายังได้ทำการประสานงานเชิญให้นางเอเวอลีน ในฐานะตัวแทน CICC เข้าเยี่ยมปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เพื่อผลักดันให้ไทยลงนามให้สัตยาบัน ICC
----------
การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นในช่วงระยะ 2 ปีเศษ ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ถึงอุปสรรคเชิงโครงสร้างที่สำคัญของระบอบการปกครองไทย ซึ่งทำให้เป็นการยากที่จะลงนามในสัตยาบัน ICC ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญดังกล่าวมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. ในหลักการของ ICC ไม่มีข้อยกเว้นการดำเนินคดี แม้แต่กับประมุขของรัฐหากเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในข้อหาฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด แต่โดยกฎหมายแล้วนั้น การดำเนินคดีใดๆ กับประมุขของประเทศไทยไม่อาจจะกระทำได้ ดังนั้น การดำเนินการเพื่อเข้าสู่การลงสัตยาบันของไทย จึงไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการไทย ทำให้เรื่อง ICC ในไทยถูกทิ้งร้างมานานกว่า 10 ปี
2. การลงสัตยาบันผูกผันรัฐไทยนั้น จะต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกจากการแต่งตั้งของกลุ่มสถาบันฯ และเผด็จการทหาร ร่วมกับสมาชิกสภาฝ่ายค้านที่ทำงานใกล้ชิดกับเผด็จการทหาร ซึ่งรวมแล้วมีมากกว่าครึ่งสภา
3. ในเชิงอำนาจแล้วนั้น สถาบันทหารไทย มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะทั้งทางกฎหมายหรือทางวัฒนธรรม รวมถึงด้วยว่าตามข้อเท็จจริงนั้น เมื่อมีการยึดอำนาจดังเช่นปัจจุบัน การดำเนินการเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ก็จะถูกกีดกันอย่างชัดแจ้งจากสถาบันฯ ดังเช่นในขณะนี้
จึงนำเสนอเป็นข้อมูลประกอบการประชุมของ ICC ณ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ มหานครนิวยอร์ก ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2014
---------------------------------------------------------
Why Thailand must ratify the International Criminal Court?
And why has it not done so?
By Sunai Chulpongsatorn
Former Chairman of Committee on Foreign Affairs of the House of Representative of Thailand.
And Former Member of the House of Representative of Thailand.
----------
One of the features political underdevelopment a country possesses a social structure that allows military dictatorship to flourish. This kind of structure hinders democratic progress in the country. Thailand is one of such countries. The case of Thailand may be even more difficult, as its political institutions are very complex, especially, the Monarch-Military relationship. This complex is manifested in the recent coup d’état. The involvement of these institutions is one of many reasons that hampers judicial and justice processes.
From 1973 to the present, more than half a century, I have witnessed the crime that the military have committed to the Thai people. Yet perpetrators and instigators are free with impunity. More than five massacres occurred; and countless intimidation against people went unnoticed. There are political groups that instigate many criminal activities aiming at obstructing democratic development. These groups and crimes are backed by dictatorial power. One of the prime example is the seizure of the Bangkok International Airport in 2009. It has been five years since the seizure but the judicial process cannot even begin to bring justice despite abundant evidences
As a politician, I, personally, do understand this structural problem. I believe there will be another bloodshed in the near future, in which it may even be more violent and intimidating than what happened in the past. That is because the current predicament involves a conflict within Thai political structure during this current volatile period.
----------
As a matter of fact, when I was in my position, I believe it was my duty to help prevent any development that would threaten the livelihood of the people. And I strongly believe that the International Criminal Court (ICC) is an important body that will be both a protection of human rights in Thailand and a hope for the lives of all Thais.
----------
Therefore as the Chairman of the Standing Committee on Foreign Affairs of the House of Representative of Thailand, I administered Thailand’s legislative process toward the ratification of the ICC commitment as the next step after Thailand became a signatory state to the Rome Statue since October 2000. Despite both legal and non-legal impediments in the process, I successfully did the following:
1. I visited Honorary Sang-Hyun Song (then the Judge-President of the ICC) and Mr. Michel de Smedt (then the head investigation of the ICC) twice in The Hague, the Netherlands in 2011 and 2012. During both visits, however, I was publicly reprimanded and condemned by General Prayuth Chan-ocha (then Commander of the Army of Thailand) who is the current Coup leader and appointed Prime Minister of the Junta Government.
2. During both visits, I followed up the case against Mr. Abhisit Vejchajiva, former Prime Minister of Thailand. Mr Abhisit was accused of committing crimes against Thai people over his order for a military crackdown on the pro-democracy protestors in May 2010, in which the case was filed by Mr. Robert Amsterdam. I also extended my invitation to the President of the ICC to Thailand. This meant to provide the information about the ICC for the public, especially for the Judge, the military and the police. This is to give the understanding about the ICC. As a matter of fact, the President accepted the invitation and the visit was scheduled in mid-2013. However, the visit was eventually cancelled for security reason when the anti-government demonstration started to expand to a full scale riot with a call for military intervention against the elected government.
3. Furthermore, I organized more than ten seminars within Thailand from 2012-2013 to disseminate the information about the ICC I also coordinated a meeting between the Thai Parliament and Ms Evelyn Balais-Serrano, Coordinator for the Coalition of the International Criminal Court – Asia Pacific (CICC Asia-Pacific). She also had an official meeting with Dr. Surapong Tovichakchaikul (then Foreign Minister of Thailand) to push and discuss about Thailand’s process of ratifying the ICC.
----------
From my involvement in promoting the ICC in Thailand during those two years, I have come to understand clearly about structural impediments embedded in Thailand’s political structure. To simplify, there are three aspects that hinder the ICC ratification process as follows:
1. The principle of ICC does not grant anyone immunity from prosecution for his/her crimes, even the head of state, if such crimes involve killing people. However, according to Thai laws, the head of the state cannot be prosecuted for any case whatsoever. Therefore, the ICC ratification process did not receive full cooperation from Thai bureaucracy and was intentionally delayed through red tape for more than 10 years.
2. Ratification by Thailand as a state party will need an approval from the Parliament, which means it must be approved by both houses (the House of Representatives and the Senate). However, the majority of the Senate (both APPOINTED and elected) and the opposition, together constituted more than half of the members of Parliament, worked closely with the military to interrupt the process.
3. In terms of political power, the relationship between the military institution and the monarchy is closely tied in both legal and traditional aspects. As a result, whenever there is a coup d’état the democratic process and human rights progress are openly stalled by these institutions. This is the situation Thailand is currently facingtoday.
I wish to present this information to the meeting of the International Criminal Court at the United Nations, New York City, December 2014.
แถลงการณ์เลขาธิการองค์การเสรีไทย 15 ธันวาคม 2557
เสรีไทยใส่เกียร์เดินหน้า,จดทะเบียนองค์กรชอบด้วยกฎหมายอเมริกันและร่วมมือกับICCขับเคลื่อนปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย,ฟังรายละเอียดจากรายการมหาวิทยาลัยประชาชน
ฟังเสียง Link http://youtu.be/O9iN1J7MAvw
ฟังเสียง Link http://youtu.be/O9iN1J7MAvw
วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557
"จอม เพชรประดับ" แจงถูกกล่าวหา เหตุทำหุ้นร่วง ซัด "ประยุทธ์" ชายชาติทหารต้องกล้ารับผิดชอบอย่าสร้าง "แพะ" เพิ่ม
คำชี้แจง
จอม เพชรประดับ
กรณีถูกกล่าวหา เป็นเหตุทำให้หุ้นไทยร่วงรุนแรง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
กรณี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศไทยว่า ผม (นายจอม เพชรประดับ) เป็นสาเหตุของการปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนสร้างความตื่นตระหนก ทำให้หุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เรื่องนี้ สร้างความไม่สบายใจและเป็นกังวลให้กับผมอย่างยิ่ง เพื่อความเป็นธรรมในการประกอบวิชาชีพของผมเอง และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในการสัมภาษณ์ของผม จึงขอใช้โอกาสนี้ ชี้แจงทำความเข้าใจดังนี้
ประเด็นแรก – เรื่องข่าว “เบื้องหลัง สมเด็จพระบรม ทรงหย่า กับหม่อมศรีรัศมิ์” ที่อยู่ในเวปไซด์ “Thaivoicemedia.com”นั้น เป็นการอ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์ ซึ่งข่าวนี้ ผมได้พูดคุยกับบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์จริง และเหตุที่ได้นำเสนอข่าวนี้ออกไป เพราะเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนได้เข้าใจกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจและต้องการที่จะรับรู้อย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ สมเด็จพระบรมฯ มากยิ่งขึ้น เพราะข่าวที่ออกมาโดยส่วนใหญ่อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่า “หม่อมศรีรัศม์” เป็นฝ่ายถูกกระทำ
รวมทั้งการพูดถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ทรงมีพระอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วนั้น ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนไทย
ผมตระหนักดีว่า จำเป็นที่จะต้องระบุชื่อแหล่งข่าวอย่างชัดเจน ในทุกข่าวที่นำเสนอ แต่กรณีนี้ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า หากระบุชื่อจริงลงไป ก็จะสร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวอย่างมาก แม้จะเป็นการพูดด้วยความปรารถนาดีและด้วยความรัก ห่วงใยต่อองค์รัชทายาทก็ตาม ซึ่งนี่ก็คือความรับผิดชอบที่สำคัญของสื่อมวลชนด้วยเช่นเดียวกัน
ประการที่สอง– เกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ผมได้แสดงทรรศนะ ความคิด ความเชื่อของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วหลายครั้ง ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมเป็นคนไทย คนหนึ่ง ที่มีสำนึกรักและศรัทธา สถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด แต่ในความเป็นสื่อมวลชน ก็ต้องอยู่กับข้อเท็จจริง ความเปลี่ยนแปลงผลิกผันของสังคมโลกยุคใหม่ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ที่ต้องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบ ในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่ส่งผลและเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขา
“สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ซึ่งถูกสร้างให้กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ เป็นใจกลางของความเป็นประเทศไทย จึงถูกท้าทายด้วยปรากฎการณ์ใหม่นี้ วัฒนธรรมของสังคมใหม่ ที่เน้นการตั้งคำถาม การตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ในฐานะของสื่อมวลชน ซึ่งต้องทำงานบนพื้นฐานความสนใจและความเปลี่ยนแปลงใน สังคมโลกยุคปัจจุบัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสำเสนอ หรือพูดถึงปรากฎการณ์ดังกล่าว
แม้เป็น “สื่อมวลชน” แต่ด้วยความเป็น “คนไทย” การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ก็เป็นไปด้วยความรัก ความศรัทธา และด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในผืนแผ่นดินไทย การที่คนไทยจำนวนมากให้ความสนใจใคร่รู้ในสถาบันอันเป็นสิ่งศรัทธาสูงสุดเวลานี้ จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ การตรวจสอบ การตั้งคำถาม ล้วนแล้วอยู่บนความปรารถนาดีที่ต้องการช่วย พยุงให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง นี่คือความเชื่อมั่นและความรู้สึกนึกคิดของผมต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”
ประการที่สาม – การสัมภาษณ์ คุณจักรภพ เพ็ญแข อดีตนักการเมือง ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ในประเด็น “ความเปราะบางของสถาบันกษัตริย์ไทย” เป็นเหตุผลที่ต่อเนื่องจากคำอธิบายดังกล่าวข้างต้น และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คุณจักรภพ ให้สัมภาษณ์ในเชิงการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ได้ทำมาแล้วหลายครั้ง ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดิ่งร่วงลงอย่างที่สุดแต่อย่างใด
ประการที่สี่ – คุณสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารไทย พยายามยัดเยียดให้ผมเป็น “ทาสรับใช้ระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอธิบาย ชี้แจง และได้พิสูจน์ตัวเองในเรื่องนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
การทำหน้าที่สื่อมวลชนของผม ต้องใช้ความอดทน และพยายามอย่างยิ่ง ที่ต้องมั่นคงอยู่กับข้อเท็จจริง สร้างความเป็นธรรม และพยายามรักษาปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่วายต้องถูกต้องผลักไสให้ไปอยู่กับฝ่ายฝั่งตรงกันข้ามเสียทุกครั้ง
คงจำกันได้ ในยามที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ผมเองก็ถูกกระทำและถูกขัดขวางการทำหน้าที่สื่อมวลชน จนไม่อาจปฎิบัติหน้าที่ต่อไปได้จากอำนาจของฝ่าย “ระบอบทักษิณ” ด้วยเหมือนกัน
เป็นความไม่เป็นธรรมสำหรับผม อย่างยิ่ง ที่กลุ่มอำนาจทั้งหลายที่ขัดแย้ง และพยายามแย่งอำนาจกันเอง แต่กลับทำให้ผมกลายเป็น “แพะทางการเมือง” เสียทุกครั้ง แม้ในยามนี้ที่ชีวิตของผมต้องประสบกับความยากลำบากอย่างที่สุด ในเวลานี้ ผมไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ จาก คุณทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองใด ๆ เลย มีเพียงเพื่อนพี่น้องคนไทยที่ห่วงใย และรักในบ้านเมืองไทยเท่านั้นเองที่คอยให้ความเมตตาช่วยเหลือผมอยู่ในขณะนี้
ผมขอวิงวอนว่า อย่าทำให้การปฎิบัติหน้าที่สื่อมวลชนของผมไปให้เครดิตกับ ระบอบทักษิณ หรือกลุ่มการเมืองใดอีกเลย
ประการสุดท้าย – ความผิดพลาด และล้มเหลวในการบริหารประเทศ ของ รัฐบาลเผด็จการทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหลายเรื่อง หลายประเด็น ล้วนแล้วสร้างความเสียหายต่อคนไทยอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ และบุคคลที่อยู่ในคณะรัฐบาลควรจะหันกลับมาพิจารณาตัวเองมากว่า แทนที่จะโยนความผิดพลาดนี้ให้กับ ผม หรือ บุคคลอื่น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อำนาจสูงสุดมาด้วยการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว แต่หากต้องพิสูจน์ความเสียสละและความจริงใจที่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ และด้วยจิตใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบในความผิดที่เกิดขึ้น กรณีหุ้นดิ่งลงเหวอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องโยนความรับผิดชอบนี้ไปที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในฐานะผู้รับผิดชอบเบื้องต้นมากกว่า แทนที่จะเอา ผม ไปเป็นแพะ เหมือนกับความล้มเหลวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านมีอำนาจสูงสุดในประเทศ
ขอย้ำและขอยืนยันอีกครั้งว่า แม้ผมไม่สามารถอยู่ในประเทศอันเป็นที่รักของผมได้ แต่ก็ยังคงยืนยันที่จะทำหน้าที่สื่อมวลชนไทย เพื่อเรียกร้อง ปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดินต่อไป เพื่อวันหนึ่งคนไทยทั้งประเทศจะได้ภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของประเทศไทยที่แท้จริง แม้สุดท้ายผมเองอาจจะไม่มีวันกลับมาตายในแผ่นดินอันเป็นที่รักของตัวเองก็ตาม
ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อทุกคน
จอม เพชรประดับ
จอม เพชรประดับ
กรณีถูกกล่าวหา เป็นเหตุทำให้หุ้นไทยร่วงรุนแรง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
กรณี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศไทยว่า ผม (นายจอม เพชรประดับ) เป็นสาเหตุของการปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนสร้างความตื่นตระหนก ทำให้หุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เรื่องนี้ สร้างความไม่สบายใจและเป็นกังวลให้กับผมอย่างยิ่ง เพื่อความเป็นธรรมในการประกอบวิชาชีพของผมเอง และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในการสัมภาษณ์ของผม จึงขอใช้โอกาสนี้ ชี้แจงทำความเข้าใจดังนี้
ประเด็นแรก – เรื่องข่าว “เบื้องหลัง สมเด็จพระบรม ทรงหย่า กับหม่อมศรีรัศมิ์” ที่อยู่ในเวปไซด์ “Thaivoicemedia.com”นั้น เป็นการอ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์ ซึ่งข่าวนี้ ผมได้พูดคุยกับบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์จริง และเหตุที่ได้นำเสนอข่าวนี้ออกไป เพราะเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนได้เข้าใจกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจและต้องการที่จะรับรู้อย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ สมเด็จพระบรมฯ มากยิ่งขึ้น เพราะข่าวที่ออกมาโดยส่วนใหญ่อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่า “หม่อมศรีรัศม์” เป็นฝ่ายถูกกระทำ
รวมทั้งการพูดถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ทรงมีพระอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วนั้น ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนไทย
ผมตระหนักดีว่า จำเป็นที่จะต้องระบุชื่อแหล่งข่าวอย่างชัดเจน ในทุกข่าวที่นำเสนอ แต่กรณีนี้ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า หากระบุชื่อจริงลงไป ก็จะสร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวอย่างมาก แม้จะเป็นการพูดด้วยความปรารถนาดีและด้วยความรัก ห่วงใยต่อองค์รัชทายาทก็ตาม ซึ่งนี่ก็คือความรับผิดชอบที่สำคัญของสื่อมวลชนด้วยเช่นเดียวกัน
ประการที่สอง– เกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ผมได้แสดงทรรศนะ ความคิด ความเชื่อของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วหลายครั้ง ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมเป็นคนไทย คนหนึ่ง ที่มีสำนึกรักและศรัทธา สถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด แต่ในความเป็นสื่อมวลชน ก็ต้องอยู่กับข้อเท็จจริง ความเปลี่ยนแปลงผลิกผันของสังคมโลกยุคใหม่ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ที่ต้องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบ ในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่ส่งผลและเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขา
“สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ซึ่งถูกสร้างให้กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ เป็นใจกลางของความเป็นประเทศไทย จึงถูกท้าทายด้วยปรากฎการณ์ใหม่นี้ วัฒนธรรมของสังคมใหม่ ที่เน้นการตั้งคำถาม การตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ในฐานะของสื่อมวลชน ซึ่งต้องทำงานบนพื้นฐานความสนใจและความเปลี่ยนแปลงใน สังคมโลกยุคปัจจุบัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสำเสนอ หรือพูดถึงปรากฎการณ์ดังกล่าว
แม้เป็น “สื่อมวลชน” แต่ด้วยความเป็น “คนไทย” การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ก็เป็นไปด้วยความรัก ความศรัทธา และด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในผืนแผ่นดินไทย การที่คนไทยจำนวนมากให้ความสนใจใคร่รู้ในสถาบันอันเป็นสิ่งศรัทธาสูงสุดเวลานี้ จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ การตรวจสอบ การตั้งคำถาม ล้วนแล้วอยู่บนความปรารถนาดีที่ต้องการช่วย พยุงให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง นี่คือความเชื่อมั่นและความรู้สึกนึกคิดของผมต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”
ประการที่สาม – การสัมภาษณ์ คุณจักรภพ เพ็ญแข อดีตนักการเมือง ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ในประเด็น “ความเปราะบางของสถาบันกษัตริย์ไทย” เป็นเหตุผลที่ต่อเนื่องจากคำอธิบายดังกล่าวข้างต้น และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คุณจักรภพ ให้สัมภาษณ์ในเชิงการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ได้ทำมาแล้วหลายครั้ง ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดิ่งร่วงลงอย่างที่สุดแต่อย่างใด
ประการที่สี่ – คุณสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารไทย พยายามยัดเยียดให้ผมเป็น “ทาสรับใช้ระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอธิบาย ชี้แจง และได้พิสูจน์ตัวเองในเรื่องนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
การทำหน้าที่สื่อมวลชนของผม ต้องใช้ความอดทน และพยายามอย่างยิ่ง ที่ต้องมั่นคงอยู่กับข้อเท็จจริง สร้างความเป็นธรรม และพยายามรักษาปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่วายต้องถูกต้องผลักไสให้ไปอยู่กับฝ่ายฝั่งตรงกันข้ามเสียทุกครั้ง
คงจำกันได้ ในยามที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ผมเองก็ถูกกระทำและถูกขัดขวางการทำหน้าที่สื่อมวลชน จนไม่อาจปฎิบัติหน้าที่ต่อไปได้จากอำนาจของฝ่าย “ระบอบทักษิณ” ด้วยเหมือนกัน
เป็นความไม่เป็นธรรมสำหรับผม อย่างยิ่ง ที่กลุ่มอำนาจทั้งหลายที่ขัดแย้ง และพยายามแย่งอำนาจกันเอง แต่กลับทำให้ผมกลายเป็น “แพะทางการเมือง” เสียทุกครั้ง แม้ในยามนี้ที่ชีวิตของผมต้องประสบกับความยากลำบากอย่างที่สุด ในเวลานี้ ผมไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ จาก คุณทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองใด ๆ เลย มีเพียงเพื่อนพี่น้องคนไทยที่ห่วงใย และรักในบ้านเมืองไทยเท่านั้นเองที่คอยให้ความเมตตาช่วยเหลือผมอยู่ในขณะนี้
ผมขอวิงวอนว่า อย่าทำให้การปฎิบัติหน้าที่สื่อมวลชนของผมไปให้เครดิตกับ ระบอบทักษิณ หรือกลุ่มการเมืองใดอีกเลย
ประการสุดท้าย – ความผิดพลาด และล้มเหลวในการบริหารประเทศ ของ รัฐบาลเผด็จการทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหลายเรื่อง หลายประเด็น ล้วนแล้วสร้างความเสียหายต่อคนไทยอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ และบุคคลที่อยู่ในคณะรัฐบาลควรจะหันกลับมาพิจารณาตัวเองมากว่า แทนที่จะโยนความผิดพลาดนี้ให้กับ ผม หรือ บุคคลอื่น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อำนาจสูงสุดมาด้วยการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว แต่หากต้องพิสูจน์ความเสียสละและความจริงใจที่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ และด้วยจิตใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบในความผิดที่เกิดขึ้น กรณีหุ้นดิ่งลงเหวอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องโยนความรับผิดชอบนี้ไปที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในฐานะผู้รับผิดชอบเบื้องต้นมากกว่า แทนที่จะเอา ผม ไปเป็นแพะ เหมือนกับความล้มเหลวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านมีอำนาจสูงสุดในประเทศ
ขอย้ำและขอยืนยันอีกครั้งว่า แม้ผมไม่สามารถอยู่ในประเทศอันเป็นที่รักของผมได้ แต่ก็ยังคงยืนยันที่จะทำหน้าที่สื่อมวลชนไทย เพื่อเรียกร้อง ปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดินต่อไป เพื่อวันหนึ่งคนไทยทั้งประเทศจะได้ภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของประเทศไทยที่แท้จริง แม้สุดท้ายผมเองอาจจะไม่มีวันกลับมาตายในแผ่นดินอันเป็นที่รักของตัวเองก็ตาม
ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อทุกคน
จอม เพชรประดับ
ข่าวกอท.เสรีไทย: คสช.ดิ้นพล่านจากข่าวจริงของจอมเพชรประดับ
คสช.ต้องบอกความจริงกับประชาชนและต้องเปิดเสรีภาพการรับฟังข่าวสารแล้วทุกอย่างจะปรับตัวได้เอง
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
-----------------------
สรรเสริญ รับหุ้นตก เหตุ จอม เพชรประดับ ปล่อยข่าวลือปมสถาบัน
16 ธันวาคม 2557 เวลา 15:19:01
สรรเสริญ รับหุ้นตก เหตุ จอม เพชรประดับ ปล่อยข่าวลือปมสถาบัน
พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รับหุ้นตก เหตุ จอม เพชรประดับ ปล่อยข่าวลือปมสถาบัน วอนอย่าตื่นตระหนกกับข้อมูลที่ไม่จริง พร้อมย้ำขอให้เชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานราชการ
จากกรณีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เทขายหุ้น เนื่องจากข่าวลือหลากหลายอย่าง ทั้งข่าวลืออันไม่เป็นมงคล และราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเรื่องการเมือง จึงทำให้นักลงทุนแตกตื่น พากันเทขายหุ้นกันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หุ้นดิ่งร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี ติดดอยแดงเถือกเต็มกระดานหุ้นกันเลยทีเดียว ถึง 138.93 จุดนั้น
ล่าสุด วันที่ 16 ธันวาคม 2557 พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า เหตุที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา มีสาเหตุมาจากนายจอม เพชรประดับ ที่เปิดเผยบทสัมภาษณ์อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก ทำให้เกิดข่าวลือไม่เหมาะสม ส่งผลให้ตลาดหุ้นติดดอยแดงเต็มกระดาน โดยภายหลังเกิดเรื่อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงให้ประชาชนและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานราชการ อย่าไปหลงเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ไม่จริง โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากบุคคลที่รับทราบกันอยู่แล้วว่าแอบอิงกับกลุ่มการเมือง
พล.ต. สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในส่วนของความเคลื่อนไหวของกลุ่มต้านก็ยังมีอยู่ จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ และขนาดเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างเต็มที่ ก็ยังมีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้น สำหรับกรณีนายจอม ต้องลองดูกันว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพูดเรื่องการปั้นข่าวเท็จแบบนี้ยังไงบ้าง
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
-----------------------
สรรเสริญ รับหุ้นตก เหตุ จอม เพชรประดับ ปล่อยข่าวลือปมสถาบัน
16 ธันวาคม 2557 เวลา 15:19:01
สรรเสริญ รับหุ้นตก เหตุ จอม เพชรประดับ ปล่อยข่าวลือปมสถาบัน
พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รับหุ้นตก เหตุ จอม เพชรประดับ ปล่อยข่าวลือปมสถาบัน วอนอย่าตื่นตระหนกกับข้อมูลที่ไม่จริง พร้อมย้ำขอให้เชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานราชการ
จากกรณีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เทขายหุ้น เนื่องจากข่าวลือหลากหลายอย่าง ทั้งข่าวลืออันไม่เป็นมงคล และราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเรื่องการเมือง จึงทำให้นักลงทุนแตกตื่น พากันเทขายหุ้นกันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หุ้นดิ่งร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี ติดดอยแดงเถือกเต็มกระดานหุ้นกันเลยทีเดียว ถึง 138.93 จุดนั้น
ล่าสุด วันที่ 16 ธันวาคม 2557 พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า เหตุที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา มีสาเหตุมาจากนายจอม เพชรประดับ ที่เปิดเผยบทสัมภาษณ์อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก ทำให้เกิดข่าวลือไม่เหมาะสม ส่งผลให้ตลาดหุ้นติดดอยแดงเต็มกระดาน โดยภายหลังเกิดเรื่อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงให้ประชาชนและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานราชการ อย่าไปหลงเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ไม่จริง โดยเฉพาะข้อมูลที่มาจากบุคคลที่รับทราบกันอยู่แล้วว่าแอบอิงกับกลุ่มการเมือง
พล.ต. สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในส่วนของความเคลื่อนไหวของกลุ่มต้านก็ยังมีอยู่ จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ต่าง ๆ และขนาดเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างเต็มที่ ก็ยังมีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้น สำหรับกรณีนายจอม ต้องลองดูกันว่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพูดเรื่องการปั้นข่าวเท็จแบบนี้ยังไงบ้าง
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557
เผยเบื้องหลัง "พระบรมฯ" ทรงหย่า "หม่อมศรีรัศมิ์"
Sat, 12/13/2014 - 01:32 jom / Thaivoicemedia.com
หลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศเรื่อง พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต นั้น เท่ากับชัดเจนแล้วว่า สมเด็จพระบรม ได้ทรงหย่ากับ หม่อมศรีรัศมิ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แหล่งข่าวในราชสำนักได้เปิดเผยกับ Thaivoicemedia ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีความประสงค์ที่จะทรงหย่ากับ หม่อมศรีรัศมิ์ มาเป็นเวลานานแล้ว หลังทรงทราบเรื่องที่บรรดาญาติพี่น้องหม่อมศรีรัศมิ์ อ้างสมเด็จพระบรมฯในการฉ้อโกง หลอกลวง ผู้อื่น รวมทั้งแอบอ้างเพื่อประกอบธุรกิจที่ได้มาซึ่งผลประโยชน์อันมิชอบ และหม่อมศรีรัศมิ์ ก็มิได้ปฎิเสธกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงนำไปสู่การหย่าร้างดังกล่าว
“เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งด้วยเหตุเพราะว่า สมเด็จพระบรมฯทรงมีพระประสงค์ที่จะมีพระมเหสีใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะประสงค์จะเคลียร์บ้านของพระองค์เองให้พร้อมสำหรับการขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา รัชกาลที่ 9 ส่วนพระมเหสีพระองค์ใหม่จะต้องเป็นบุคคลที่เหมาะสมสำหรับการสถาปนาเป็นพระราชินีด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่า พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสเพื่อสถาปนาเป็นพระราชินีพระองค์ใหม่ ภายหลังจากที่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ไม่น่าที่จะดำเนินการก่อน” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีหม่อมศรีรัศมิ์ จะเหมือนกับ หม่อมเบ็นซ์ หรือ คุณยุวธิดา ผลประเสริฐ หรือไม่ที่ต้องถูกขับให้ออกไปอยู่ต่างประเทศพร้อมกับพระโอรสทั้ง 4 พระองค์ แหล่งข่าวในราชสำนักกล่าวว่า แตกต่างกัน กรณีของ หม่อมศรีรัศมิ์นั้น เป็นเรื่องที่ตกลงกันได้ หม่อมศรีรัศมิ์เองก็ยอมรับว่าสมาชิกในครอบครัวสร้างความเสื่อมเสียให้กับสถาบันจริง หม่อมศรีรัศมิ์เองไม่ได้ทำผิดอะไร ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งพระวรชายาก็ทรงวางองค์ได้อย่างเหมาะสม และปฎิบัติภารกิจได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ยอมรับ และยังต้องดูแล พระองค์เจ้าทีปังกร ซึ่งไม่ทรงปกติด้วย อีกทั้ง หม่อมศรีรัศมิ์ ก็ไม่ได้คิดที่จะสู้หรือหนีไปไหน แต่ กรณีของ หม่อมเบนซ์นั้น เป็นที่ทราบกันว่า มีเรื่องนอกใจสมเด็จพระบรมฯ และไม่ได้เลี้ยงดูหม่อมหญิงสิริวัณวลี มหิดล อย่างดี ขณะเดียวกัน พระโอรสทั้ง `4 ก็เลือกที่จะไม่อยู่กับสมเด็จพระบรมฯด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแอบอ้างสมเด็จพระบรมฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงรับทราบมาก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่ทรงออกมาชะล้างในช่วงนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วคือการเตรียมพระองค์สำหรับการเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป และคิดว่า พระองค์ทรงรอจังหวะเวลาในช่วงที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลทหารด้วย เนื่องจาก หากกระทำในช่วงที่เป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง หรือ เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยอาจจะเกิดความระส่ำระสายจนเอาไม่อยู่ก็เป็นได้
“และแน่นอนว่าการสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่ก็น่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลทหาร ไม่น่าจะไปถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะการควบคุมทำได้ยาก ซึ่งตอนนี้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ล้วนรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมฯ” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ถึงตอนนี้คงจะชัดเจนเรื่องข่าวลือมาตลอดว่า มีความขัดแย้งกันระหว่าง สมเด็จพระบรมฯ กับ สมเด็จพระเทพฯ ที่จะขึ้นเป็นมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 จะเห็นว่า ตอนนี้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งหมด ก็ได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้ สมเด็จพระบรมฯ ทรงเสด็จฯประกอบพระราชกรณียกิจทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจในระดับรองลงมา และที่ผ่านมาไม่เคยมีสัญญาณใด ๆ เลยจากสมเด็จพระเทพฯ ที่จะทรงมีพระราชประสงค์ขึ้นครองราชย์แทนพี่ชาย เพราะนอกจากจะขัดต่อกฎมณเทียนบาลแล้ว สมเด็จพระบรมฯ ทรงมีสิทธิสมบูรณ์ถูกต้องตามหลักมณเทียรบาล และราชประเพณีทุกประการ ขณะเดียวกันเหล่าทัพในขณะนี้ก็มีเอกภาพและเตรียมพร้อมที่จะสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงสละราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมฯได้เมื่อใด แหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก บอกว่า ไม่มีใครกล้าที่จะถาม หรือ ตอบคำถามนี้ เพราะอาจจะเข้าข่าย 112 ได้ ต้องยอมรับว่า อาการประชวรของในหลวงนั้นถือว่าหนัก ด้วยทรงชราภาพมากแล้ว แต่บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็พยามถวายการรักษาอย่างเต็มที่เพื่อให้พระองค์มีพระชนมายุได้มากกว่า 120 ปี ตามพระราชประสงค์ ที่เคยตรัสไว้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะพูดเรื่องนี้
“แม้ว่าสักวันหนึ่ง พระองค์จะสวรรคตจริงๆ แต่ก็คงจะไม่ประกาศให้ประชาชนรับรู้ในทันที ต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านให้เรียบร้อยก่อนถึงจะประกาศได้ ส่วนพระอาการของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ นั้นขณะนี้ก็ทรงทำกายภาพบำบัดทุกวัน จากอาการอัมพาตของร่างกายด้านซ้าย แต่พระอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเรื่องนี้แพทย์ที่ถวายการรักษาทั้งสองพระองค์ก็ได้ถวายการดูและเป็นอย่างดีตลอดเวลาไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าว ยอมรับการบังคับใช้กฎหมาย 112 ในขณะนี้ว่าได้สร้างความเสียหายกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมากโดยเฉพาะกับประชาชนที่เพียงแค่การวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล ไม่ได้ใช้คำรุนแรง แต่กรณีการแอบอ้างสถาบันฯเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือ เพื่อข่มขู่ คนอื่นอันนี้เป็นปัญหาที่ต้องใช้ ม.112 อย่างเข้มงวดและจริงจัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ สมเด็จพระบรมฯทรงห่วงปัญหามากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล
“ถึงที่สุดแล้วเชื่อว่า เมื่อสมเด็จพระบรมฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ คงจะมีการปรับปรุงทบทวนการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน จะทำให้ทุกหน่วยงานใด หรือ โครงการใดที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็ต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่มีการแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์ เชื่อว่า หลายโครงการ หรือ หลายหน่วยงาน ที่มีความไม่ชอบมาพากลอยู่ คงร้อน ๆ หนาวๆ กับเรื่องนี้เหมือนกัน” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว
หลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศเรื่อง พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต นั้น เท่ากับชัดเจนแล้วว่า สมเด็จพระบรม ได้ทรงหย่ากับ หม่อมศรีรัศมิ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แหล่งข่าวในราชสำนักได้เปิดเผยกับ Thaivoicemedia ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีความประสงค์ที่จะทรงหย่ากับ หม่อมศรีรัศมิ์ มาเป็นเวลานานแล้ว หลังทรงทราบเรื่องที่บรรดาญาติพี่น้องหม่อมศรีรัศมิ์ อ้างสมเด็จพระบรมฯในการฉ้อโกง หลอกลวง ผู้อื่น รวมทั้งแอบอ้างเพื่อประกอบธุรกิจที่ได้มาซึ่งผลประโยชน์อันมิชอบ และหม่อมศรีรัศมิ์ ก็มิได้ปฎิเสธกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงนำไปสู่การหย่าร้างดังกล่าว
“เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งด้วยเหตุเพราะว่า สมเด็จพระบรมฯทรงมีพระประสงค์ที่จะมีพระมเหสีใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะประสงค์จะเคลียร์บ้านของพระองค์เองให้พร้อมสำหรับการขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา รัชกาลที่ 9 ส่วนพระมเหสีพระองค์ใหม่จะต้องเป็นบุคคลที่เหมาะสมสำหรับการสถาปนาเป็นพระราชินีด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่า พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสเพื่อสถาปนาเป็นพระราชินีพระองค์ใหม่ ภายหลังจากที่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ไม่น่าที่จะดำเนินการก่อน” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีหม่อมศรีรัศมิ์ จะเหมือนกับ หม่อมเบ็นซ์ หรือ คุณยุวธิดา ผลประเสริฐ หรือไม่ที่ต้องถูกขับให้ออกไปอยู่ต่างประเทศพร้อมกับพระโอรสทั้ง 4 พระองค์ แหล่งข่าวในราชสำนักกล่าวว่า แตกต่างกัน กรณีของ หม่อมศรีรัศมิ์นั้น เป็นเรื่องที่ตกลงกันได้ หม่อมศรีรัศมิ์เองก็ยอมรับว่าสมาชิกในครอบครัวสร้างความเสื่อมเสียให้กับสถาบันจริง หม่อมศรีรัศมิ์เองไม่ได้ทำผิดอะไร ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งพระวรชายาก็ทรงวางองค์ได้อย่างเหมาะสม และปฎิบัติภารกิจได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ยอมรับ และยังต้องดูแล พระองค์เจ้าทีปังกร ซึ่งไม่ทรงปกติด้วย อีกทั้ง หม่อมศรีรัศมิ์ ก็ไม่ได้คิดที่จะสู้หรือหนีไปไหน แต่ กรณีของ หม่อมเบนซ์นั้น เป็นที่ทราบกันว่า มีเรื่องนอกใจสมเด็จพระบรมฯ และไม่ได้เลี้ยงดูหม่อมหญิงสิริวัณวลี มหิดล อย่างดี ขณะเดียวกัน พระโอรสทั้ง `4 ก็เลือกที่จะไม่อยู่กับสมเด็จพระบรมฯด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแอบอ้างสมเด็จพระบรมฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงรับทราบมาก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่ทรงออกมาชะล้างในช่วงนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วคือการเตรียมพระองค์สำหรับการเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป และคิดว่า พระองค์ทรงรอจังหวะเวลาในช่วงที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลทหารด้วย เนื่องจาก หากกระทำในช่วงที่เป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง หรือ เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยอาจจะเกิดความระส่ำระสายจนเอาไม่อยู่ก็เป็นได้
“และแน่นอนว่าการสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่ก็น่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลทหาร ไม่น่าจะไปถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะการควบคุมทำได้ยาก ซึ่งตอนนี้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ล้วนรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมฯ” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ถึงตอนนี้คงจะชัดเจนเรื่องข่าวลือมาตลอดว่า มีความขัดแย้งกันระหว่าง สมเด็จพระบรมฯ กับ สมเด็จพระเทพฯ ที่จะขึ้นเป็นมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 จะเห็นว่า ตอนนี้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งหมด ก็ได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้ สมเด็จพระบรมฯ ทรงเสด็จฯประกอบพระราชกรณียกิจทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจในระดับรองลงมา และที่ผ่านมาไม่เคยมีสัญญาณใด ๆ เลยจากสมเด็จพระเทพฯ ที่จะทรงมีพระราชประสงค์ขึ้นครองราชย์แทนพี่ชาย เพราะนอกจากจะขัดต่อกฎมณเทียนบาลแล้ว สมเด็จพระบรมฯ ทรงมีสิทธิสมบูรณ์ถูกต้องตามหลักมณเทียรบาล และราชประเพณีทุกประการ ขณะเดียวกันเหล่าทัพในขณะนี้ก็มีเอกภาพและเตรียมพร้อมที่จะสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงสละราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมฯได้เมื่อใด แหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก บอกว่า ไม่มีใครกล้าที่จะถาม หรือ ตอบคำถามนี้ เพราะอาจจะเข้าข่าย 112 ได้ ต้องยอมรับว่า อาการประชวรของในหลวงนั้นถือว่าหนัก ด้วยทรงชราภาพมากแล้ว แต่บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็พยามถวายการรักษาอย่างเต็มที่เพื่อให้พระองค์มีพระชนมายุได้มากกว่า 120 ปี ตามพระราชประสงค์ ที่เคยตรัสไว้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะพูดเรื่องนี้
“แม้ว่าสักวันหนึ่ง พระองค์จะสวรรคตจริงๆ แต่ก็คงจะไม่ประกาศให้ประชาชนรับรู้ในทันที ต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านให้เรียบร้อยก่อนถึงจะประกาศได้ ส่วนพระอาการของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ นั้นขณะนี้ก็ทรงทำกายภาพบำบัดทุกวัน จากอาการอัมพาตของร่างกายด้านซ้าย แต่พระอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเรื่องนี้แพทย์ที่ถวายการรักษาทั้งสองพระองค์ก็ได้ถวายการดูและเป็นอย่างดีตลอดเวลาไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าว ยอมรับการบังคับใช้กฎหมาย 112 ในขณะนี้ว่าได้สร้างความเสียหายกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมากโดยเฉพาะกับประชาชนที่เพียงแค่การวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล ไม่ได้ใช้คำรุนแรง แต่กรณีการแอบอ้างสถาบันฯเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือ เพื่อข่มขู่ คนอื่นอันนี้เป็นปัญหาที่ต้องใช้ ม.112 อย่างเข้มงวดและจริงจัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ สมเด็จพระบรมฯทรงห่วงปัญหามากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล
“ถึงที่สุดแล้วเชื่อว่า เมื่อสมเด็จพระบรมฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ คงจะมีการปรับปรุงทบทวนการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน จะทำให้ทุกหน่วยงานใด หรือ โครงการใดที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็ต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่มีการแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์ เชื่อว่า หลายโครงการ หรือ หลายหน่วยงาน ที่มีความไม่ชอบมาพากลอยู่ คงร้อน ๆ หนาวๆ กับเรื่องนี้เหมือนกัน” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว
วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ข่าวลับกรองแล้ว(ฉบับปกติในเดือนไม่ปกติ) 11 ธันวาคม 2557
11 ธันวาคม 2557
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.) http://thaiscandemo.blogspot.com/
*เดือนธันวาคมเคยเป็นเดือนที่ยิ่งใหญ่แห่งการเฉลิมฉลองวันพ่อและวันชาติมานานกว่า50กว่าปีแต่ปีนี้เดือนธันวากลายเป็นเดือนแห่งความหวาดกลัวสารพัดตั้งแต่จะมีการปฏิวัติซ้อนจนถึงข่าววันพ่อตาย
*สปท.ขอประกาศเรียกร้องสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัล"ข่าวกรองดีเด่น"จากการข่าวฟันธงปรากฎในข่าวลับกรองแล้วฉบับพิเศษวันที่4ธันวาที่ยืนยันสวนหมัดแถลงการสำนักพระราชวังว่ากษัตริย์ภูมิพลไม่ออกงานมหาสมาคมในวันที่5ธันวาตามหมายกำหนดการแน่นอน...แล้วตอนตี2เช้ามืดของวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือวันชาติก็กลายเป็นวันสิ้นพระชนมพรรษาหรือวันสิ้นชาติไปเรียบร้อยแล้ว
*สปท.ขอฟันธงอย่างเชื่อมั่นในสายข่าวอีกว่าจะไม่มีวันเฉลิมพระชนมพรรษา5ธันวาอีกแล้วแต่จะมีแต่วันพระอัปรียะมหาราช5ธันวาแข่งกับวันพระปิยะมหาราช23ตุลาแน่นอนหากลูกหลานยังดึงดันและยังไม่จัดการกับเหล่ามหาอำมาตย์องคมนตรีชั่วและยังปล่อยให้มั่วกันอย่างนี้และยื้อชีวีร.9กันต่อไปไม่ให้จบกันตามเวลา...555
*สปท.ขอฟันธงอีกด้วยว่าจะเกิดการยื้อและมีมหกรรมโกหกครั้งใหญ่ในวันที่31ธันวาคมนี้อีกอย่างแน่นอนคือจะมีภาพข่าวกษัตริย์ภูมิพลออกทีวีอ่านสารอวยพรปีใหม่แบบคอพับคออ่อนเพื่อแสดงว่า"ฉันยังอยู่ยังอยู่ไว้ขู่พวกมึงเสมอ"...ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าเป็นเทปที่อัดไว้ก่อนเดือนธันวาอัดตอนยาบำรุงกำลังกำลังออกฤทธิ์...ถ้าใครจะถามว่าทำไมไม่บอกความจริงกับประชาชนไปเลยว่าท่านสิ้นสภาพแล้ว...ก็ตอบได้ชัดเจนว่าความขัดแย้งในวังแตกกันเละจนจับเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ไม่่รู้จะเอาอย่างไรดี
*ใครที่เห็นเสี่ยออกงานพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพลร่วมกับหม่อมใหม่"สุธิตา วชิราลงกรณ์"และพระราชพิธีงานสำคัญอื่นๆรวมทั้งสลัดศรีรัศมี์ออกแล้วก็เชื่อว่าเสี่ยได้ขึ้นเป็นร.10นั้น สปท.ขอฟันธงว่าอย่าได้เชื่อเช่นนั้นเพราะเกมส์แย่งชิงอำนาจยังแรงโครงสร้างอำนาจที่ถูกวางไว้ในการรัฐประหารล่าสุดพลเอกเปรมจัดวางไว้แข็งแรงพอควรโดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างอำนาจสภา,มวลชนและทหารส่วนหนึ่งที่จะสถาปณาเทพถ่างขึ้นครองราช
*นับแต่ตี2ของวันที่5ธันวาตามที่แถลงการณ์ฉบับที่11ออกอย่างฉุกเฉินประกาศกษัตริย์ภูมิพลออกงานไม่ได้ก็ขอให้บันทึกไว้เลยว่านับแต่นี้วุ่นวายที่สุดเพราะกฎหมายทุกฉบับและการประกาศโปรดเกล้าทั้งหลายลายเซนต์ของกษัตริย์ปลอมทั้งหมด. และที่ผ่านมาก็ปลอมมาหลายรอบแล้วโดยใช้วิธีทอดพระบาท
*ทอดพระบาท...เป็นศัพท์ใหม่ที่ใช้เรียกให้ขลังในวังโรงพยาบาลศิริราชและวังหัวหินตอนที่พระองค์เจ็บป่วยระยะหลังจนทรงงานไม่ได้ด้วยราชเลขานำกฎหมายที่จะให้เซนต์ไปวางไว้ที่ปลายตีนเนื่องจากทรงพระสลึมสลือแล้วพอรุ่งเช้าก็เก็บไปประทับลายเซนต์ด้วยตราที่สั่งทำอย่างดี เพราะถือว่าท่านได้ใช้หัวแม่ตีนพิจารณาและให้นำไปประกาศเป็นกฎหมายได้แล้ว...กรรมของประเทศไทยจริงๆ
*สปท.ประกาศชัดอีกครั้งเสี่ยได้หย่ากับศรีรัศมิ์เรียบร้อยแล้วส่วนพระองค์ธีฯไม่ให้แม่เอาไปและส่งไปเรียนและไปเลี้ยงที่เยอรมัน
*รีสอร์ตสวนผึ้งของหม่อมศรีรัศมี์วันนี้ประกาศขายยกโครงการเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรีสอร์ต"สวนผี"คนที่จะมาซื้อก็ไม่ใช่ใครอื่นก็คือเจ้าของเดิมเพียงแต่ตั้งตุ๊กตาตัวแทนเป็นหุ่นเชิดมาถือครองทรัพยสินเพื่อให้พ้นราชภัยไปก่อน
*ข่าวดังไปทั่วเมื่อภาพของจารุพงศ์ เลขาเสรีไทยไปปรากฎตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกร่วมกับท่านSong ชาวเกาหลีประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ(ICC)ที่ตึกสหประชาชาติและแถลงข่าวว่าจะใช้องค์กรเสรีไทยช่วยICCขับเคลื่อนในประเทศไทยให้ไทยลงสัตยาบรรณเสียที...ข่าวนี้เก๋เกินกว่าที่ยุทธเหล่ณ.คสช.จะดูถูก เพราะตอนนี้. ICC ได้ตั้งสำนักงานรณรงค์ในประเทศไทยแล้วอยู่ที่ถนนปั้น สีลม และข่าวรายงานล่าสุดว่าคสช.ก็ส่งทหารไปเยี่ยมแล้วด้วย /จบ
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.) http://thaiscandemo.blogspot.com/
*เดือนธันวาคมเคยเป็นเดือนที่ยิ่งใหญ่แห่งการเฉลิมฉลองวันพ่อและวันชาติมานานกว่า50กว่าปีแต่ปีนี้เดือนธันวากลายเป็นเดือนแห่งความหวาดกลัวสารพัดตั้งแต่จะมีการปฏิวัติซ้อนจนถึงข่าววันพ่อตาย
*สปท.ขอประกาศเรียกร้องสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัล"ข่าวกรองดีเด่น"จากการข่าวฟันธงปรากฎในข่าวลับกรองแล้วฉบับพิเศษวันที่4ธันวาที่ยืนยันสวนหมัดแถลงการสำนักพระราชวังว่ากษัตริย์ภูมิพลไม่ออกงานมหาสมาคมในวันที่5ธันวาตามหมายกำหนดการแน่นอน...แล้วตอนตี2เช้ามืดของวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือวันชาติก็กลายเป็นวันสิ้นพระชนมพรรษาหรือวันสิ้นชาติไปเรียบร้อยแล้ว
*สปท.ขอฟันธงอย่างเชื่อมั่นในสายข่าวอีกว่าจะไม่มีวันเฉลิมพระชนมพรรษา5ธันวาอีกแล้วแต่จะมีแต่วันพระอัปรียะมหาราช5ธันวาแข่งกับวันพระปิยะมหาราช23ตุลาแน่นอนหากลูกหลานยังดึงดันและยังไม่จัดการกับเหล่ามหาอำมาตย์องคมนตรีชั่วและยังปล่อยให้มั่วกันอย่างนี้และยื้อชีวีร.9กันต่อไปไม่ให้จบกันตามเวลา...555
*สปท.ขอฟันธงอีกด้วยว่าจะเกิดการยื้อและมีมหกรรมโกหกครั้งใหญ่ในวันที่31ธันวาคมนี้อีกอย่างแน่นอนคือจะมีภาพข่าวกษัตริย์ภูมิพลออกทีวีอ่านสารอวยพรปีใหม่แบบคอพับคออ่อนเพื่อแสดงว่า"ฉันยังอยู่ยังอยู่ไว้ขู่พวกมึงเสมอ"...ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าเป็นเทปที่อัดไว้ก่อนเดือนธันวาอัดตอนยาบำรุงกำลังกำลังออกฤทธิ์...ถ้าใครจะถามว่าทำไมไม่บอกความจริงกับประชาชนไปเลยว่าท่านสิ้นสภาพแล้ว...ก็ตอบได้ชัดเจนว่าความขัดแย้งในวังแตกกันเละจนจับเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ไม่่รู้จะเอาอย่างไรดี
*ใครที่เห็นเสี่ยออกงานพระราชพิธีตรึงหมุดธงชัยเฉลิมพลร่วมกับหม่อมใหม่"สุธิตา วชิราลงกรณ์"และพระราชพิธีงานสำคัญอื่นๆรวมทั้งสลัดศรีรัศมี์ออกแล้วก็เชื่อว่าเสี่ยได้ขึ้นเป็นร.10นั้น สปท.ขอฟันธงว่าอย่าได้เชื่อเช่นนั้นเพราะเกมส์แย่งชิงอำนาจยังแรงโครงสร้างอำนาจที่ถูกวางไว้ในการรัฐประหารล่าสุดพลเอกเปรมจัดวางไว้แข็งแรงพอควรโดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างอำนาจสภา,มวลชนและทหารส่วนหนึ่งที่จะสถาปณาเทพถ่างขึ้นครองราช
*นับแต่ตี2ของวันที่5ธันวาตามที่แถลงการณ์ฉบับที่11ออกอย่างฉุกเฉินประกาศกษัตริย์ภูมิพลออกงานไม่ได้ก็ขอให้บันทึกไว้เลยว่านับแต่นี้วุ่นวายที่สุดเพราะกฎหมายทุกฉบับและการประกาศโปรดเกล้าทั้งหลายลายเซนต์ของกษัตริย์ปลอมทั้งหมด. และที่ผ่านมาก็ปลอมมาหลายรอบแล้วโดยใช้วิธีทอดพระบาท
*ทอดพระบาท...เป็นศัพท์ใหม่ที่ใช้เรียกให้ขลังในวังโรงพยาบาลศิริราชและวังหัวหินตอนที่พระองค์เจ็บป่วยระยะหลังจนทรงงานไม่ได้ด้วยราชเลขานำกฎหมายที่จะให้เซนต์ไปวางไว้ที่ปลายตีนเนื่องจากทรงพระสลึมสลือแล้วพอรุ่งเช้าก็เก็บไปประทับลายเซนต์ด้วยตราที่สั่งทำอย่างดี เพราะถือว่าท่านได้ใช้หัวแม่ตีนพิจารณาและให้นำไปประกาศเป็นกฎหมายได้แล้ว...กรรมของประเทศไทยจริงๆ
*สปท.ประกาศชัดอีกครั้งเสี่ยได้หย่ากับศรีรัศมิ์เรียบร้อยแล้วส่วนพระองค์ธีฯไม่ให้แม่เอาไปและส่งไปเรียนและไปเลี้ยงที่เยอรมัน
*รีสอร์ตสวนผึ้งของหม่อมศรีรัศมี์วันนี้ประกาศขายยกโครงการเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นรีสอร์ต"สวนผี"คนที่จะมาซื้อก็ไม่ใช่ใครอื่นก็คือเจ้าของเดิมเพียงแต่ตั้งตุ๊กตาตัวแทนเป็นหุ่นเชิดมาถือครองทรัพยสินเพื่อให้พ้นราชภัยไปก่อน
*ข่าวดังไปทั่วเมื่อภาพของจารุพงศ์ เลขาเสรีไทยไปปรากฎตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกร่วมกับท่านSong ชาวเกาหลีประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ(ICC)ที่ตึกสหประชาชาติและแถลงข่าวว่าจะใช้องค์กรเสรีไทยช่วยICCขับเคลื่อนในประเทศไทยให้ไทยลงสัตยาบรรณเสียที...ข่าวนี้เก๋เกินกว่าที่ยุทธเหล่ณ.คสช.จะดูถูก เพราะตอนนี้. ICC ได้ตั้งสำนักงานรณรงค์ในประเทศไทยแล้วอยู่ที่ถนนปั้น สีลม และข่าวรายงานล่าสุดว่าคสช.ก็ส่งทหารไปเยี่ยมแล้วด้วย /จบ
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557
สื่อรัสเซียพาดหัวพระมหากษัตริย์ไทยสั่งซื้อเครื่องบินหรู 3ลำ จากรัสเซีย,มีคนสงสัยจะใช้ขนส่งอะไรในภาวะฉุกเฉินหรือจึงสั่งซื้อมากพร้อมกัน3ลำ?!!!
สงสัยทำไมอายุ 87ปี ต้องซื้อเครื่องบินขี่อีก 3ลำ, ข่าวมอสโคส์ไทม์แฉเมื่อ 5ธันวาคม
-------------------------
Thaivoicemedia.com
สื่อรัสเซีย เสนอข่าว "กษัตริย์ภูมิพล" สั่งซื้อเครื่องบินซุปเปอร์เจท อย่างหรู 3 ลำจากรัสเซีย.
Sun, 12/07/2014 - 17:13 jom /Thaivoicemedia.com
หนังสือพิมพ์ มอสโค ไทม์ ประจำวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ลงพาดหัวข่าวว่า กษัตริย์ไทยสั่งซื่้อเครื่องบินรัสเซีย เพื่อเป็นเครื่องบินพระที่นั่งสำหรับราชวงศ์ไทย จำนวน 3 ลำ โดยเป็นเครื่องบิน ซุปเปอร์เจต "Sukhoi" สำนักข่าว TASS เปิดเผยข่าวดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า ตัวแทนการค้ารัสเซียในประเทศไทยคือ นาย Oleg Maslennikov. ซึ่งเครื่องบินซุปเปอร์เจท ที่ตกแต่งอย่างหรู แต่ไม่เปิดเผยราคาที่แท้จริงว่าเป็นเท่าไหร่
หนังสือพิมพ์ มอสโค ไทม์ รายงานด้วยว่า กษัตริย์ภูมิพลของไทย ซึ่งปัจจุบันอายุ 87 ปี ซึ่งเป็นกษัติรย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่ถือครองอยู่มากกว่า30พ้นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ตามที่นิตยสาร Forbes.ที่ได้จัดอันดับไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับเครื่องซุปเปอร์เจต ดังกล่าว ผลิตโดยบริษัท Sukhoi Civil Aircraft ซึ่งเป็นบริษัทที่ รัฐบาลรัสเซียให้การสนับสนุนให้เป็นสายการบินนานาชาติในโลกยุคใหม่ หลังจากที่รัสเซียได้ล่มสลายด้านอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องบินรุ่นนี้จะผลิตออกมาเพื่อแข่งขันในธุรกิจการบินในระดับสากลหลังจากความเสื่อมถอยของรัฐเซียที่เกิดขึ้นในปี 2012 ที่ผ่านมา กรณีเครื่องบินรัสเซียตกบริเวณเทือกเขาในประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิต 45 คน
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ดังกล่าวระบุด้วยว่า ฝ่ายขายของบริษัท Sukhoi Civil Aircraft แจ้งว่ายอดของการสั่งซื้อเครืองบินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตามรัฐบาลรัสเซียก็ยังเป็นผู้ซื้อหลักของสายการบินดังกล่าวซึ่งมีถึง 30 คำสั่งซื้อแล้วในขณะนี้
คุณจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในต่างประเทศ ให้ความเห็นต่อข่าวชิ้นนี้ว่า ข่าวกษัตริย์ภูมิพลซื้อเครื่องบินรัสเซีย 3ลำพร้อมให้ตกแต่งอย่างหรูหราโดยไม่บอกว่าราคาในการซื้อครั้งนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไร พ่อของแผ่นดินไทย พอเพียงไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่สมพระเกียรติต้องให้พสกนิกรเท่านั้น ที่ต้องพอเพียง เพื่อส่งกำไรหล่อเลี้ยง "พ่อ"ให้สมพระเกียรติ
คนที่ใช้ชื่อว่า Faey Saito ได้แสดงความสงสัยในเรื่องนี้ผ่านเฟสต์บุ๊คว่า "ทำไมต้องซื้อจากรัสเซีย"คนที่ใช้ชื่อว่า XArtx Lovecat ได้ความเห็นว่า "พอเพียงใช้ยาสีฟันบีบจนเกลี้ยง แต่ใช้รถคันละ 100 ล้าน เอ๊ะอย่างไง?"
-------------------------
Thaivoicemedia.com
สื่อรัสเซีย เสนอข่าว "กษัตริย์ภูมิพล" สั่งซื้อเครื่องบินซุปเปอร์เจท อย่างหรู 3 ลำจากรัสเซีย.
Sun, 12/07/2014 - 17:13 jom /Thaivoicemedia.com
หนังสือพิมพ์ มอสโค ไทม์ ประจำวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ลงพาดหัวข่าวว่า กษัตริย์ไทยสั่งซื่้อเครื่องบินรัสเซีย เพื่อเป็นเครื่องบินพระที่นั่งสำหรับราชวงศ์ไทย จำนวน 3 ลำ โดยเป็นเครื่องบิน ซุปเปอร์เจต "Sukhoi" สำนักข่าว TASS เปิดเผยข่าวดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า ตัวแทนการค้ารัสเซียในประเทศไทยคือ นาย Oleg Maslennikov. ซึ่งเครื่องบินซุปเปอร์เจท ที่ตกแต่งอย่างหรู แต่ไม่เปิดเผยราคาที่แท้จริงว่าเป็นเท่าไหร่
หนังสือพิมพ์ มอสโค ไทม์ รายงานด้วยว่า กษัตริย์ภูมิพลของไทย ซึ่งปัจจุบันอายุ 87 ปี ซึ่งเป็นกษัติรย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่ถือครองอยู่มากกว่า30พ้นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ตามที่นิตยสาร Forbes.ที่ได้จัดอันดับไว้ก่อนหน้านี้
สำหรับเครื่องซุปเปอร์เจต ดังกล่าว ผลิตโดยบริษัท Sukhoi Civil Aircraft ซึ่งเป็นบริษัทที่ รัฐบาลรัสเซียให้การสนับสนุนให้เป็นสายการบินนานาชาติในโลกยุคใหม่ หลังจากที่รัสเซียได้ล่มสลายด้านอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ซึ่งเครื่องบินรุ่นนี้จะผลิตออกมาเพื่อแข่งขันในธุรกิจการบินในระดับสากลหลังจากความเสื่อมถอยของรัฐเซียที่เกิดขึ้นในปี 2012 ที่ผ่านมา กรณีเครื่องบินรัสเซียตกบริเวณเทือกเขาในประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิต 45 คน
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ดังกล่าวระบุด้วยว่า ฝ่ายขายของบริษัท Sukhoi Civil Aircraft แจ้งว่ายอดของการสั่งซื้อเครืองบินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตามรัฐบาลรัสเซียก็ยังเป็นผู้ซื้อหลักของสายการบินดังกล่าวซึ่งมีถึง 30 คำสั่งซื้อแล้วในขณะนี้
คุณจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในต่างประเทศ ให้ความเห็นต่อข่าวชิ้นนี้ว่า ข่าวกษัตริย์ภูมิพลซื้อเครื่องบินรัสเซีย 3ลำพร้อมให้ตกแต่งอย่างหรูหราโดยไม่บอกว่าราคาในการซื้อครั้งนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไร พ่อของแผ่นดินไทย พอเพียงไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่สมพระเกียรติต้องให้พสกนิกรเท่านั้น ที่ต้องพอเพียง เพื่อส่งกำไรหล่อเลี้ยง "พ่อ"ให้สมพระเกียรติ
คนที่ใช้ชื่อว่า Faey Saito ได้แสดงความสงสัยในเรื่องนี้ผ่านเฟสต์บุ๊คว่า "ทำไมต้องซื้อจากรัสเซีย"คนที่ใช้ชื่อว่า XArtx Lovecat ได้ความเห็นว่า "พอเพียงใช้ยาสีฟันบีบจนเกลี้ยง แต่ใช้รถคันละ 100 ล้าน เอ๊ะอย่างไง?"
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ใจ อึ๊งภากรณ์: ศาสนาประจำชาติของไทยคือ “ลัทธิกษัตริย์” ไม่ใช่พุทธศาสนา
ศาสนาประจำชาติของไทยคือ “ลัทธิกษัตริย์” ไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้าเราจะปลดแอกสังคมไทยให้เป็นประชาธิปไตย เราจำเป็นต้องรื้อถอนลัทธิกษัตริย์ ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ และโค่นอำนาจของกองทัพ
ศาสนาประจำชาติของไทยคือ “ลัทธิกษัตริย์” ไม่ใช่พุทธศาสนา
ใจ อึ๊งภากรณ์
ศาสนาประจำชาติที่ชนชั้นปกครองไทยพยายามยัดเยียดให้เรานับถือคือ “ลัทธิบูชากษัตริย์” ไม่ใช่พุทธศาสนาแต่อย่างใด
ในสังคมเผด็จการล้าหลังของพวกคริสต์หรืออิสลาม ในอดีตหรือปัจจุบัน ชนชั้นปกครองมักจะอ้าง “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” ในการกดขี่ประชาชนและการปราบปรามคนที่ถูกป้ายร้ายว่า “นอกรีต”คนที่คิดต่างนั้นเอง ในสเปนสมัยยุคกลาง มีการตั้งองค์กร “สอบสวน” เพื่อทรมาน ปราบปราม และกดดันคำสารภาพผิดจากคนที่คิดต่าง ตอนนั้นกษัตริย์สเปนใช้ศาสนาคริสต์แบบเผด็จการ เพื่อกวาดล้างชาวมุสลิม “มัวร์” ที่เคยครองสเปนและนำความเจริญศิวิไลซ์มาสู่ส่วนนั้นของยุโรป นอกจากนี้ชาวยิว และคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กษัตริย์ล้าหลัง ก็ถูกกวาดล้างไปด้วยอย่างโหดร้ายทารุน ใครไม่เปลี่ยนความคิดก็จะถูกฆ่าหรือขับไล่ออกจากประเทศ
การใช้ “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” ของพวกเผด็จการคริสต์ หรือโดยพวกมุสลิมล้าหลังในซาอุ หรือองค์กรไอซิล อาศัยการอ้างว่า “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” มาจากพระเจ้าและเถียงด้วยหรือวิจารณ์ไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” ไม่ได้เขียนโดยพระเจ้า ผมเองมองว่าพระเจ้าไม่มีจริงด้วยซ้ำ คัมภีร์ต่างๆ เขียนขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ธรรมดาทั้งสิ้น และที่สำคัญที่สุดคือคนอ่านสามารถตีความแตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นประโยชน์กับการใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามคนที่คิดต่าง และเพื่อแสวงหาความชอบธรรมของพวกเผด็จการป่าเถื่อน
อย่างไรก็ตาม “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” สามารถถูกตีความเข้าข้างคนที่ถูกกดขี่ เพื่อให้ความหวังกับคนที่ไร้ความหวังได้ เพราะศาสนาเป็น “หัวใจในโลกที่ไร้หัวใจ” พร้อมกับเป็นเครื่องมือที่ชนชั้นปกครองใช้เพื่อกดขี่เรา
กษัตริย์ภูมิพลเป็นเสมือน “คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองไทย พวกนี้คุมเขาอยู่ตลอด โดยเฉพาะทหาร ข้าราชการชั้นสูง และนักการเมืองนายทุน เพราะภูมิพลถูกปั้นขึ้นมาเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ตั้งแต่สมัยสงครามเย็นภายใต้เผด็จการสฤษดิ์ แต่ชนชั้นปกครองปั้นภูมิพลขึ้นมาแล้วเล่นละครกราบไหว้ภูมิพล เหมือนกับว่าเกิดบนสวรรค์ กษัตริย์ภูมิพลถูกแต่งเป็นอัจฉริยะมนุษย์กึ่งพระเจ้าที่รู้ทุกอย่างและมีความสามารถรอบด้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นนิยายทั้งสิ้น ในความเป็นจริงนายภูมิพลมีความสามารถปานกลาง ไม่มีอะไรพิเศษ และไม่เคยมีความกล้าหาญที่จะขัดกับเจ้านายแท้ในสังคมที่คุมและสร้างเขาขึ้นมาแต่แรก
ลัทธิกษัตริย์ไทยถูกใช้เพื่อปราบคนคิดต่าง โดยมีองค์กหลายองค์กรที่ “สอบสวน” และ “ค้นหา” คนนอกรีต และกฏหมาย 112 คือกฏหมายปราบคนที่อยากเห็นรัฐไทยใหม่ที่มีเสรีภาพและความเท่าเทียม และการขังลืมนักโทษ 112 เป็นการใช้ความรุนแรงในเชิงการทรมานจิตใจ การกดดันให้นักโทษ “สารภาพผิด” เพื่อลดโทษ ก็เป็นวิธี “พิสูจน์” ว่ามีคนคอย “ทำลายความดีงาม” ของสังคมจริง
คำพูดกำกวมของนายภูมิพล ตามสคริพท์ที่เจ้านายร่างให้ ก็เป็นวิธีปล่อยให้ชนชั้นปกครองตีความ “คัมภีร์” เพื่อเข้าข้างตนเองและให้ความชอบธรรมกับตนเองเสมอ และถ้าใครกล้าเถียงก็จะโดน 112 ทันที
ศาสนาประจำชาติของชนชั้นปกครองไทย พยายามทำให้ลัทธิกษัตริย์กับลัทธิชาตินิยมไปด้วยกันหรือเป็นสิ่งเดียวกันด้วย ลัทธิกษัตริย์มันปกป้องฐานะพิเศษของอภิสิทธิ์ชนที่จะปกครองชาติและปกครองพลเมืองส่วนใหญ่ โดยใช้อำนาจนอกระบบประชาธิปไตย
พุทธศาสนาในรูปแบบที่นับถือกันในไทย เป็นศาสนาที่เน้นความเชื่อและการกระทำของปัจเจกในการสร้างบุญ หรือในการลดความทุกข์ และมักมีการผสมเรื่องผีสางนางไม้หรือศาสนาฮินดูเข้าไปด้วย เนื่องจากผู้ปกครองไทยแต่เดิมไม่อยากให้องค์กรศาสนาพุทธกลายเป็นคู่แข่ง ก็มีการลดบทบาททางการเมืองของสงฆ์ ซึ่งต่างจากบทบาทพระสงฆ์ในขบวนการกู้ชาติของพม่าหรือลาว ดังนั้นพุทธศาสนาไม่ได้ถูกใช้เป็นศาสนาประจำชาติเพื่อกดขี่ปราบปรามประชาชนในยุคนี้ เขาใช้ลัทธิกษัตริย์แทน
เราไม่ควรเข้าใจผิดว่าเมื่อภูมิพลตายลัทธิกษัตริย์จะตายไปด้วย มันไม่ใช่ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องแต่งเพื่อปราบประชาชน ดังนั้นจะเอาคนที่มีความสามารถปานกลาง หรือคนที่เกือบจะไม่มีความสามารถเลย มาดำรงตำแหน่งได้เสมอ
ถ้าเราจะปลดแอกสังคมไทยให้เป็นประชาธิปไตย เราจำเป็นต้องรื้อถอนลัทธิกษัตริย์ ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ และโค่นอำนาจของกองทัพ
--
Giles Ji Ungpakorn
วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557
สารขอบคุณและเชิญชวนเข้าร่วมต่อสู้เพือประชาธิปไตยในโอกาสวันสำคัญ
----------------------
เราขอใช้โอกาสวันสำคัญขอบคุณและบอกรูปธรรมบางด้านของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยการเชิญเราเข้าร่วมในห้องไลน์ของท่าน
sortwo เป็นหน่วยงานขององค์การเสรีไทยที่ทำหน้าที่ในการประสานงานข่าวที่มีชื่อว่า"กองกระจายข่าวกลางเสรีไทย"อักษรย่อ 'กอท.เสรีไทย'
องค์การนี้มีนายจารุพงศ์ เรืองสุสรรณ อดีตรัฐมนตรีกระทวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนล่าสุดเป็นเลขาธิการ,จักรภพ เพ็ญแข,สุนัย จุลพงศธร และเพื่อนๆผู้มีประวัติการต่อสู้เพื่อปชต.อีกหลายท่านเป็นกรรมการ(แต่ไม่อาจเปิดชื่อทั้งห ดเพราะเราจำต้องปิดลับบางส่วน)
พวกเรารับรู้ปัญหาโครงสร้างเผด็จการโบราณของไทยที่เป็นต้นเหตุของความยากจนของประชาชนจนถึงรากและพยายามใช้กลไกรัฐสภาแก้ไขแต่ทหารที่ถูกแปรรูปเป็นสุนัขรับใช้ระบอบเผด็จการนี้ก็ทำรัฐประหารไม่มีสิ้นสุดและยิ่งใกล้เปลี่ยนรัชกาลระบบก็ยิ่งวิกฤติ,เราส่วนหนึ่งจึงตัดสินใจออกนอกประเทศและร่วมกันตั้งองค์การนี้ขึ้นเพื่อร่วมกับประชาชนทั้งในและนอกประเทศเพื่อต่อสู้เปลี่ยนแปลงระบอบเพื่อสร้างปชต.ที่แท้จริงให้ได้
ยุทธศาสตร์ขั้นแรกคือร่วมมือกันปิดล้อมคสช.ทางข่าวสารและใช้ความจริงเป็นอาวุธสร้างภาวะตาสว่างให้กว้างขวางที่สุดก่อนที่จะยกระดับปิดล้อมการเมืองและล้มระบอบนี้แล้วสร้างระบอบปชต.ที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่าางแท้จริงขึ้น
เราเห็นความสำคัญของทหารและตำรวจผู้รักประชาธิปไตยในกองทัพและสนง.ตำรวจฯที่ถูกระบอบเผด็จการควบคุมและบีบรัดแน่นหนาจึงขอให้ท่านรวบรวมเพื่อนสนิทจัดตั้งเป็นหน่วยปิดลับขนาดเล็กในหน่วยงานของท่านและพยามยามเชื่อมต่องานใต้ดินกับฝ่ายประชาชนเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมทำการเปลี่ยนแปลงดังเช่นที่คณะราษฎรได้เสียสละสร้างทางปชต.มาแล้วระดับหนึ่ง
ขออภัยทีเราจะติดต่อกับท่านทางกลุ่มไม่ติดต่อส่วนตัวและไม่อาจเปิดเผยชื่อจริงของบุคคลที่เราจะเชิญเข้าร่วมห้องของท่านอีกจำนวนหนึ่งด้วยเพราะการต่อสู้ต่อไปนี้เป็นงานใต้ดินไม่อาจเปิดหน้าสู้แบบเดิมได้
หากท่านเห็นด้วยและจะช่วยขยายงานการต่อสู้ก็ขอให้ท่านช่วยแนะนำบอกต่อเพื่อนในกลุ่มต่างๆแบบลูกโซ่ดึงเราเข้าไปเป็นเพื่อนด้วยจะขอบคุณยิ่งคะ
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
5 ธันวา 2557
ข่าวลับกรองแล้ว 4 ธันวาคม2557 (ฉบับพิเศษวันพ่อทูนหัว)
4 ธันวาคม2557
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.) http://thaiscandemo.blogspot.com/
*ขออนุญาติแฟนๆที่ สปท.ต้องรีบออกฉบับพิเศษก่อนถึงจุดไคลแม็คที่กษัตริย์ภูมิพลจะจูงมือราชินีออกโชว์ความเหี่ยวและเอ๋อให้ชาวโลกเห็น,เดี๋ยวจะหาว่าเป็นหมอเดาที่ชอบทำนายหลังเหตุเกิดแล้ว
*อีกไม่กี่ชั่วโมงตามหมายกำหนดการสำนักพระราขวังยืนยันจะเสด็จออกมหาสมาคมแน่นอน...แต่สปท.ได้รับรายงานจากสายข่าวลับขอฟันธงเลยว่ายากกกกสสสสส
*สายข่าวสปท.รายงานว่าคณะแพทย์ผู้รับผิดชอบกำลังหายใจไม่ทั่วท้องเพราะอาการที่เป็นจริงของลุงในแต่ละวันมีอาการไม่รู้ตัวนานกว่าที่รู้ตัว และเอาแน่ไม่ได้ว่าจะรู้สึกตัวตอนใหนและหากรู้ตัวก็เป็นช่วงสั้นๆ,ถ้าถามใจหมอก็ไม่อยากให้ออกแต่เป็นปัญหาการเมืองเพราะหากไม่เข็นลุงออกมาก็ไม่ได้ เพราะโกหกประชาชนมาตลอดว่าสุขภาพของลุงยังเป็นปกติแข็งแรงยังไม่จำเป็นต้องตั้งรัชกาลที่10 และยังลงนามรับรองการยึดอำนาจของคสช.ได้
*ส่วนคุณป้าหมอก็ยิ่งปวดกบาลหนักเพราะคุณป้าควบคุมพฤติกรรมไม่ได้มานานแล้วมีอาการจิตหลอนว่าจะมีคนมาทำร้ายเสมอ ที่ผ่านมาใครก็ตามที่ตัวใหญ่หมอจะไม่ให้เข้าใกล้คุณป้าเพราะเธอจะหวาดกลัวเป็นพิเศษและที่ผ่านมาหลายปีก็ไม่ให้ออกมาโชว์ตัว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะถูกบีบโดยหมายกำหนดการของสำนักพระราชวังที่ประกาศไปทั่ว
*ข่าวสองวันก่อนหมอขอให้กำหนดราชพิธีให้สั้น ให้มีแค่3คนพูดโดยเฉพาะยุทธเหล่นายกฯกับพรเพชรประทวยสภาสุนัขรับใช้ต้องกล่าวแบบสั้นที่สุด คนหนึ่งไม่เกิน1นาทีเพื่อไม่เป็นการรบกวนขี้ตีนใต้ฝ่าตีนของพระองค์แล้วปิดม่านเลย ส่วนลุงนั้นควรนั่งเฉยๆโดยหมอได้ประดิษฐ์ไฟเบอร์รองหลังเป็นพิเศษเพื่อยันให้นั่งได้เหมือนปกติ แต่คอพับนี่ซิประดิษฐ์ให้เนียนยากดังนั้นกล้องทีวีต้องห้ามซูมใกล้เด็ดขาด,ส่วนคุณป้าไม่ต้องพูดถึงเพราะออกพบชาวบ้านไม่ได้นานแล้ว
*ย้ำอีกครั้งหนึ่งหมอประจำพระองค์ยืนยันอาการของลุงต้องดูวันต่อครึ่งวัน.(ไม่ใช่วันต่อวันนะ)ดังนั้นก่อนจะถึงเวลา9โมงเช้าวันที่5หมอจึงไม่กล้ารับรอง ...ถาม..แล้วหมายกำหนดการออกมาได้อย่างไร?
*ตอบ..ก็คุณลุงฝืนธรรมชาติมากร่างกายอ่อนปวกเปียกสมองก็ไม่รับรู้แล้วแต่ยังจะออกงาน ดังนั้นจะเขียนให้ระเบียบพิธีอ่อนปวกเปียกตามพระอาการก็ทำไม่ได้
*ขี้ข้าในวังวันนี้ก็ปวดกบาลแต่พูดไม่ได้ หากไม่เขียนหมายกำหนดการออกมาเลยก็ทำไม่ได้เพราะเป็นวันสำคัญและหลอกประชาชนว่าท่านยังแข็งแรง...หากจะเขียนหมายให้อ่อนปวกเปียกตามความเป็นจริงว่าอาจจะออกได้ไม่ได้ก็ไม่แน่นอนห้าสิบห้าสิบจึงขอให้พสกนิกรตามเป็นวันๆไปก็เจอ112หัวขาดแบบญาติพระวรชายาศรีรัศมี์อีก...และถ้าจะเขียนหมายว่าออกมหาสมาคมได้พระองค์เดียวส่วนพระราชินีออกไม่ได้ก็หัวขาดอีก...ดังนั้นในภาวะการฝืนธรรมชาติเช่นนี้ก็ทำใจเถอะพสกนิกรทั้งหลาย หมายกำหนดการพระราชวังก็เป็นเท็จทั้งนั้นเชื่อไม่ได้
*วันนี้กองเชียร์เสื้อเหลืองเสื้อแดงมีเป้าประสงค์ตรงกันอยากเห็นพระราชพิธี5ธันวา เพราะอยากจะดูว่าเสี่ยจะหันพระพักต์ทอดพระเนตรหน้าพระวรชายาศรีรัศมี์กี่ครั้งเพื่อจะเอาไปแทงหวย และพระองค์โสมเมื่อ ทอดพระเนตรหน้าพระวรชายาแล้วจะแย้มพระสรวล(สแยะยิ้ม)อย่างไรรวมถึงพระองค์เจ้าศรีรัศมี์จะทรงวางพระพักต์อย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้
*สรุปฟันธงคงยากที่จะมีพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการตอแหลแห่งชาติก็หาเหตุผลไว้อย่างสวยหรูแล้วและหากประกาศไปเชื่อว่าบรรดาสลิ่มจะน้ำตาไหลพราก(เพราะธรรมชาติออกแบบบ่อน้ำตาของสลิ่มให้ตื้นเป็นพิเศษ) เช่นตัวอย่าง"ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะออกมาพบประชาชนด้วยมีพระเมตตาเปี่ยมล้นและเป็นห่วงพสกนิกรแต่เนื่องจากพระวรกายยังทรงมีพระปรอทเล็กน้อยคณะแพทย์จึงกราบบังคมทูลให้ทรงพักผ่อนก่อนแต่พระองค์มีพระทัยมุ่งมั่นที่จะออกมาพบประชาชนแต่ไม่อาจจะขัดการถวายความเห็นของคณะแพทย์ได้"....5555
*คอยดูกันนะอีกไม่กีชั่วโมงก็จะรู้ว่าหมายกำหนดการจะเชื่อได้กี่เปอร์เซนต์ แต่สำหรับสปท.ไม่เชื่อหมายกำหนดการเลยเพราะโกหกมาหลายปีติดต่อกันแล้วไม่ว่าจะเป็นวันฉัตรมงคลหรือวันเฉลิมเพราะเรื่องจริงสมองของทั้งสองคนหมดสภาพแล้ว/จบ
วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ชีวิตคนไทยในกำมือกษัตริย์ผ่านบริษัทซีพี....ลำดับข้อมูลง่ายสั้น โดยJohn Lee
•คนไทยจะไม่จนได้อย่างไรในเมื่อค่าแรงถูกค่าอาหารแพง,ทั้งไก่หมูเนื้อไข่ถูกผูกขาดอยู่ในกำมือบริษัทซีพีทั้งหมดตั้งแต่การผลิตและจำหน่ายอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ทำไมซีพีจึงผูกขาดได้ทั้งหมดถึงขนาดมีรัฐออกกฎหมายคุ้มครองให้ด้วยจึงไม่มีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาแข่งขันได้?
คำตอบคือ:ซีพีเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทในเครือข่ายราชสำนักเช่นธนาคาร, น้ำเมา,สิ่งก่อสร้าง, สื่อโฆษณาและประกันภัยที่ส่งส่วยให้วังเป็นประจำ(จะเห็นได้จากข่าวสองทุ่มที่เข้าเฝ้าถวายเงิน)เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษในการผูกขาดผลประโยชน์โดยปิดประตูขูดรีดประชาชนห้ามทุนใหม่ทั้งในและนอกประเทศเข้าแข่งขัน,กลุ่มทุนเหล่านี้เรียกว่า"กลุ่มทุนขุนนาง"จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนเหล่านี้เช่นเบียร์สิงห์,ช้าง, แบงค์ และ.ซีพีจะเสนอหน้าออกสตางค์ให้ม็อบก่อจราจลและเอาเงินให้ทหารใช้ยึดอำนาจทุกครั้งเมื่อเป็นพระราชประสงค์และเงินนั้นก็จะเรียกกลับมากขึ้นจากสิทธิพิเศษในการขูดรีดประชาชนคนด้วยโครงสร้างเช่นนี้คนไทยจึงยากจนต่อเนื่องยาวนานยากแก่ไขและนี้คือวงจรอุบาทของจริง,หรือทุนสามานย์ของจริงใครตาสว่างพูดความจริงก็เจอ112,ใครหาญจะไปแก้ก็จะกลายเป็นกบฏภายในราชอาณาจักรขึ้นศาลทหาร,นายทหารได้ประโยชน์ก็คุ้มครอง,ทหารชั้นผู้น้อยก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือพ่อแม่ก็ยากจนกันต่อไป
ตาสว่างเถิดทุนสามานย์ของจริงที่ผูกขาดตั้งแต่หัวจรดตีนคือทุนเจ้า+พ่อค้าสารเลว+ทหารพระราชา(คือทุนขุนนาง)เป็นวงจรอุบาทตัวจริงที่เป็นระบบกดทับให้ประชาชนยากจนยาวนาน
วันนี้ นายธนินทร์ ยังประกาศผูกขาดหน้าตาเฉยโดยรวบซื้อTesco ในไทยอีก3 แสนล้าน บาท เท่ากับ คุม การเกษตร ทั้ง ข้าว หมู ไก่ กุ้ง อาหารสัตว์ ปุ๋ย พืช พลังงาน คุม เทคโน โลยี่ สื่อสาร ทั้ง โทรบ้าน โทรมือถือ Internet ทั้งหมดยิ่งกว่าทักษิณเป็น1,000เท่ากลับไม่มีใครว่าก็เพราะมีร่มราชสำนักบังแดดให้,ดูคลิปบางส่วนของการผูกขาดสร้างอาหารคุณภาพต่ำไม่มีใครสามรถมาแข่งขันสร้างคุณภาพใหม่ที่ดีกว่าได้,ซีพีทำเนียนจริงๆตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง555 ..□
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=333245800166467&id=321764624647918
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ส.ส.มาเล ร่วมประท้วงไล่เผด็จการประยุทธ
ฉัว
เทียน ชาง ส.ส.มาเลเซีย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
ระหว่างชุมนุมประท้วงการเยือนมาเลเซีย ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ
(นักข่าวพลเมืองเอื้อเฟื้อภาพ)
อินสตาแแกรมของ ฉัว เทียน ชาง โพสต์รูปการชุมนุมหน้าสถานทูตไทยวันนี้
ขณะเดียวกันในเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 10.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ส.ส.มาเลเซีย และองค์กรภาคประชาสังคมในมาเลเซีย 18 กลุ่ม ได้นัดประท้วงหน้าสถานทูตไทย ถ.อัมปัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ออกแถลงการณ์ "ประชาธิปไตยเพื่อประเทศไทย! เผด็จการจงออกไป!"
ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาไทยระบุว่า "การรัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้สร้างประชาธิปไตยและความยุติธรรมในสังคมไทยเลย ทว่ามันกลับเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเผด็จการในการทำลายสถาบัน ประชาธิปไตยที่มีอยู่ การรัฐประหารครั้งนี้นั้นกระทำเพียงเพื่อที่จะปกป้องกลุ่มผลประโยชน์ของชน ชั้นนำไทยที่ต้องการลดพื้นที่ของประชาธิปไตยลงและแผ่ขยายรวมอำนาจของพวกตัว เอง รัฐบาลทหารของไทยไม่ได้ให้ความสนใจในการมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม เพื่อแก้ปัญหาการเมืองไทยหรือการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกแต่อย่างใด ทว่ากลับเห็นเป็นมันภัยเสียด้วยต่างหาก"
"การทำลายขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมนั้นเป็นที่ เลื่องลือของกองทัพไทย รัฐบาลทหารของประยุทธในปัจจุบันนั้นต้องการที่จะได้รับการยอมรับจากประชาคม โลกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเผด็จการอันโหดร้ายในไทย และการตอบรับและต้อนรับการมาเยือนของประยุทธนั้นเท่ากับว่ารัฐบาลมาเลเซีย กำลังจะสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารและตอกย้ำรอยแผลให้กับประชาชนและ ประชาธิปไตยในไทย"
ทั้งนี้ผู้ลงชื่อและกลุ่มดังกล่าว ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียปฎิเสธการยอมรับรัฐบาลประยุทธจนกว่าจะมีการ ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้ได้แก่ (1) ยกเลิกกฎอัยการศึกในทันที (2) หยุดการทำลายและจับกุมผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทยและปล่อย ตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด (3) มีการเลือกตั้งและให้ประชาชนไทยเลือกตั้งรัฐบาลของพวกเขาได้อย่างเสรีตาม ระบอบประชาธิปไตย
ตอนท้ายแถลงการณ์ระบุว่า "ประเทศมาเลเซียกำลังจะได้นั่งเก้าอี้ประธานอาเซียนในปีหน้า และมันเป็นเรื่องสำคัญมากที่รัฐบาลมาเลเซียจะต้องนำรัฐบาลประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเพื่อร่วมกันประณามและกดดันให้ประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว พวกเราขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย ในการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร เพื่อให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์"
โดย 18 องค์กรที่ลงชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ได้แก่
(1) พรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (PSM),
(2) กลุ่มมาเลเซียสนับสนุนประชาธิปไตยประเทศไทย (Malaysia Support Group for Democracy in Thailand),
(3) Suara Rakyat Malaysia (SUARAM),
(4) Jaringan Rakyat Tertindas (JERIT),
(5) Persatuan Sahabat Wanita Selangor,
(6) คณะกรรมการเพื่อผู้หญิงเอเชีย (CAW),
(7) พันธมิตรรณรงค์ค่าจ้างแห่งเอเชีย Asia Floor Wage Alliance (AFWA),
(8) KOMAS,
(9) Persatuan Kesedaran Komuniti Selangor (EMPOWER),
(10) ปีกเยาวชน สมาคมชาวฮกเกี้ยนแห่งรัฐสลังงอร์และกัวลาลัมเปอร์ (Selangor and KL Hokkien Association Youth Section)
(11) Persatuan Komuniti Prihatin Selangor dan KL (PRIHATIN), (12) Jihad for Justice (13) National Interlok Action Team (NIAT) (14) Association of Human Rights Defenders and Promoters- HRDP in Burma, (15) Free Trade Union, Sri Lanka (16) Globalisation Monitor, Hong Kong (17) School of Acting Justly, Loving Tenderly, Treading Humbly (SALT) และ (18) Pax Romana ICMICA,
ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ที่ลงชื่อได้แก่ ฉัว เทียน ชาง ส.ส.เขตบาตู กัวลาลัมเปอร์, ชาร์ลส์ ซานติอาโก ส.ส.เขตกลัง รัฐสลังงอร์, ชัยกุมาร เทวราช ส.ส.เขตสุไหง สิปุต รัฐเประ และ ชาง ลิ คัง ส.ส.เขตอะดุน เตจา รัฐเประ
อินสตาแแกรมของ ฉัว เทียน ชาง โพสต์รูปการชุมนุมหน้าสถานทูตไทยวันนี้
ขณะเดียวกันในเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 10.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ส.ส.มาเลเซีย และองค์กรภาคประชาสังคมในมาเลเซีย 18 กลุ่ม ได้นัดประท้วงหน้าสถานทูตไทย ถ.อัมปัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ออกแถลงการณ์ "ประชาธิปไตยเพื่อประเทศไทย! เผด็จการจงออกไป!"
ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาไทยระบุว่า "การรัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้สร้างประชาธิปไตยและความยุติธรรมในสังคมไทยเลย ทว่ามันกลับเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเผด็จการในการทำลายสถาบัน ประชาธิปไตยที่มีอยู่ การรัฐประหารครั้งนี้นั้นกระทำเพียงเพื่อที่จะปกป้องกลุ่มผลประโยชน์ของชน ชั้นนำไทยที่ต้องการลดพื้นที่ของประชาธิปไตยลงและแผ่ขยายรวมอำนาจของพวกตัว เอง รัฐบาลทหารของไทยไม่ได้ให้ความสนใจในการมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม เพื่อแก้ปัญหาการเมืองไทยหรือการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกแต่อย่างใด ทว่ากลับเห็นเป็นมันภัยเสียด้วยต่างหาก"
"การทำลายขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมนั้นเป็นที่ เลื่องลือของกองทัพไทย รัฐบาลทหารของประยุทธในปัจจุบันนั้นต้องการที่จะได้รับการยอมรับจากประชาคม โลกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเผด็จการอันโหดร้ายในไทย และการตอบรับและต้อนรับการมาเยือนของประยุทธนั้นเท่ากับว่ารัฐบาลมาเลเซีย กำลังจะสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารและตอกย้ำรอยแผลให้กับประชาชนและ ประชาธิปไตยในไทย"
ทั้งนี้ผู้ลงชื่อและกลุ่มดังกล่าว ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียปฎิเสธการยอมรับรัฐบาลประยุทธจนกว่าจะมีการ ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้ได้แก่ (1) ยกเลิกกฎอัยการศึกในทันที (2) หยุดการทำลายและจับกุมผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทยและปล่อย ตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด (3) มีการเลือกตั้งและให้ประชาชนไทยเลือกตั้งรัฐบาลของพวกเขาได้อย่างเสรีตาม ระบอบประชาธิปไตย
ตอนท้ายแถลงการณ์ระบุว่า "ประเทศมาเลเซียกำลังจะได้นั่งเก้าอี้ประธานอาเซียนในปีหน้า และมันเป็นเรื่องสำคัญมากที่รัฐบาลมาเลเซียจะต้องนำรัฐบาลประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเพื่อร่วมกันประณามและกดดันให้ประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยโดยเร็ว พวกเราขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย ในการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร เพื่อให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์"
โดย 18 องค์กรที่ลงชื่อแนบท้ายแถลงการณ์ได้แก่
(1) พรรคสังคมนิยมมาเลเซีย (PSM),
(2) กลุ่มมาเลเซียสนับสนุนประชาธิปไตยประเทศไทย (Malaysia Support Group for Democracy in Thailand),
(3) Suara Rakyat Malaysia (SUARAM),
(4) Jaringan Rakyat Tertindas (JERIT),
(5) Persatuan Sahabat Wanita Selangor,
(6) คณะกรรมการเพื่อผู้หญิงเอเชีย (CAW),
(7) พันธมิตรรณรงค์ค่าจ้างแห่งเอเชีย Asia Floor Wage Alliance (AFWA),
(8) KOMAS,
(9) Persatuan Kesedaran Komuniti Selangor (EMPOWER),
(10) ปีกเยาวชน สมาคมชาวฮกเกี้ยนแห่งรัฐสลังงอร์และกัวลาลัมเปอร์ (Selangor and KL Hokkien Association Youth Section)
(11) Persatuan Komuniti Prihatin Selangor dan KL (PRIHATIN), (12) Jihad for Justice (13) National Interlok Action Team (NIAT) (14) Association of Human Rights Defenders and Promoters- HRDP in Burma, (15) Free Trade Union, Sri Lanka (16) Globalisation Monitor, Hong Kong (17) School of Acting Justly, Loving Tenderly, Treading Humbly (SALT) และ (18) Pax Romana ICMICA,
ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ที่ลงชื่อได้แก่ ฉัว เทียน ชาง ส.ส.เขตบาตู กัวลาลัมเปอร์, ชาร์ลส์ ซานติอาโก ส.ส.เขตกลัง รัฐสลังงอร์, ชัยกุมาร เทวราช ส.ส.เขตสุไหง สิปุต รัฐเประ และ ชาง ลิ คัง ส.ส.เขตอะดุน เตจา รัฐเประ
เงื่อนงำ "จับแก๊งค์ตำรวจใหญ่" แผนกำจัด "หม่อมศรีรัศม์" หรือทฤษฎีแย่งราชบัลลังค์ "ฟ้าชาย-พระเทพ" ?
************************************************************
คุณจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในต่างประเทศ ได้เขียนเฟสต์บุ๊ค ถึงคดีใหญ่การจับกุมนายตำรวจใหญ่ในข้อหา 112 ซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่า เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งระหว่าง สมเด็จพระบรมฯ กับ หม่อมศรีรัศม์ หรือ โดยคุณจรรยา ได้เขียนวิเคราะห์ไว้ดังนี้ "ผมคิดว่าถ้าคดีใหญ่ในช่วงนี้คือคดีจับตำรวจที่ถ้าของกลางและข้อกล่าวหาของ ผบ.ตร. เป็นข้อเท็จจริงๆ ก็จะเป็นการจับกุมการคอรัปชั่นในแวดวงตำรวจที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และมันจะเปิดเผยขบวนการคอรัปชั่นในหมู่ตำรวจครั้งใหญ่ การอ้างถึงกลุ่มตำรวจเหล่านี้ถึงความสัมพันธ์กับหม่อมศรีรัศม์ ว่า เป็นแผนการกำจัด "หม่อม" อีกคนของฟ้าชาย ตามที่พูดถึงกันอยู่นี้ ผมก็มีข้อกังขาอยู่อย่างน้อย 4 ประเด็นในเรื่องนี้คือ
1. ถ้าเป็นแค่ยุทธวิธีกำจัดหม่อมที่ไม่เป็นที่พอใจของราชสำนัก เพื่อการขึ้นครองราชย์ เช่นเดียวกับการกำจัดหม่อมคนเก่าและลูกชายถึง 4 คน เพราะราชสำนักไม่พอใจ เพียงเพื่อให้ได้ขึ้นครองราชย์นั้น ก็ยังไม่สมเหตุสมผล เพราะในวิธีการนี้ ฟ้าชายก็จะเสียงชื่อเสียงไปด้วย ทั้งในสายตาคนไทยและในสายตานานาชาติ ประเด็นหลักเลยคือ การไม่เป็นสุภาพบุรุษ จะเลิกกับเมียทั้งที ต้องทำลายชื่อเสียงเมียเสียย่อยยับขนาดนี้ และในคดีใหญ่แบบนี้ด้วย ยังไงๆ ถ้า ฟ้าชาย ทำวิธีการนี้ จะเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง และฟ้าชายก็คงจะไม่โง่พอ ที่จะเลือกเล่นยุทธวิธีนี้ในการจัดการกับหม่อมตัวเองอีกครั้ง
2. ดังที่กล่าวไปแล้ว คดีนี้เป็นคดีใหญ่ ผูกพันถึงผลประโยชน์ของชาติจำนวนมหาศาล และจะมีคนเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของคดีนี้เป็นอย่างมาก ทั้งไทยและเทศ การลดทอนความสำคัญของคดีใหญ่เช่นนี้ มาเล่นกันในเรื่องส่วนตัว "ผัว-เมีย" จึงไม่มีน้ำหนักพอ และน่าจะมีเงื่อนงำอะไรที่ควรเซาะหาคำตอบกันมากขึ้น
3. ทฤษฎี "ฟ้าชาย-พระเทพ" ขัดแย้งกัน โดย พระเทพ ประสงค์จะทำลายเครดิต ฟ้าชาย เพื่อให้ได้ขึ้นสู่อำนาจ ดูจะเป็นทฤษฎีที่ฟังได้มากกว่าที่จะเป็นทฤษฎี "ผัวเมีย" เพราะเห็นว่าไม่ยากเลย ที่จะทำลายเครดิต ฟ้าชายด้วยเรื่องเหล่านี้ ที่ผ่านมาเรื่องอื้อฉาวของฟ้าชายทั้งเรื่องเงินๆ ทองๆ และการพนัน ก็มีมาให้เห็นอยู่เนืองๆ ในขณะที่ค่าย พระเทพ นั้น ไม่ค่อยมีเรื่องเหล่านี้ออกมาสู่สาธารณชนเลย
แต่แน่นอน ในทฤษฎีนี้ ก็เท่ากับเดิมพันกันด้วยชื่อเสียง และความเสียหายของราชสำนักที่สูงมาก แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของราชสำนักไทย นั้นเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ และมัวหมองไปกับข่าวลือเรื่องค้ายาเสพติด และรับเงินสาธารณะเพื่อการส่วนตัว มาอย่างต่อเนื่อง และแม้แต่พระเทพที่ไม่มัวหมองต่อเรื่องความฟุ่มเฟื่อย ก็มัวหมองในเรื่องการเข้าข้างรอยัลลิสต์ทำการล้มรัฐบาลประชาธิปไตย จนทำให้เกิดการวิจารณ์กันมากขึ้น
ดังนั้น ถ้าเป็นการห่ำหั่นกันของสองขั้วอำนาจในราชสำนัก กรณีนี้ก็อีกเช่นกัน "เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง"
4. ถ้าตำรวจต้องการจะกวาดล้างบาง "ใหญ่แค่ไหนก็จับจริงๆ" โดยไม่มีการเมืองแอบแฝง เพื่อใช้กรณีนี้กู้ชื่อเสียงตำรวจที่มัวหมอง ก็ถือว่าตำรวจลงทุนสูง เพราะสังคมเห็นและเชื่อกันมาโดยตลอดว่า ตำรวจ ไม้เว้นแม้แต่ ผบ. ตร. คนปัจจุบัน ต่างก็คอรัปชั่นกันทั้งนั้น ดังนั้นการจัดการ "ตำรวจคอรัปชั่นกลุ่มหนึ่ง" เพื่อล้างคราบสกปรกในแวดวงตำรวจไปบ้าง จึงเป็นเรื่องที่ถือเป็นปฏิบัติการใหญ่ที่สุด ที่แวดวงตำรวจเคยกระทำมา ... ซึ่งสังคมก็ไม่แน่ใจว่า ตำรวจจะกล้า ทำเรื่องนี้ตามลำพัง โดยไม่มีไฟเขียวจากขั้วอำนาจในสังคมไทย
นี่เป็นประเด็นข้อสงสัยของผม ผมก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเช่นกัน
ก็ได้แต่รอดูสถานการณ์ และคิดว่า ไม่ว่าผลมันจะออกมาอย่างไร งานนี้เป็นอีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ไทย ที่จะช่วยทำให้คนไทยตาสว่างขึ้นครั้งครับ และไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ประชาชนคนไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการสาวลึกขึ้นเรื่อยๆ ของคดี!
ผุ้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่ คุณจรรยา ได้โพลส์ข้อความดังกล่าวแล้ว อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อท้ายไว้ด้วยว่า"ข้อสังเกตุข้อที่ 3 เป็นเรื่องทีอยากจะเขียนถึง แต่ไม่มีเวลา แต่เอาเป็นว่า ผมไม่ค่อยคิดว่า มีหลักฐานว่า สองพระองค์ขัดแย้งกันโดยตรง อันนี้ไม่ได้แปลว่าคนรอบข้างจะไม่มีความขัดแย้ง หรือพยายามบ่อนทำลายคนที่เขาคิดว่าเป็น คู่แข๋ง ของ เจ้านาย เขาหรือไม่ แต่อันนี้ เท่าที่ศึกษาและคิดประเมินแล้ว ผมก็ว่า ยังห่างจากการมีหลักฐานไม่ว่าโดยตรง หรือแวดล้อมให้คิด คือหากเจ้านายเองไม่ได้มีความขัดแย้งกันโดยตรง โอกาสที่จะมีคนรอบยข้างมีความพยายามสร้างความขัดแย้ง หรือเล่นงาน ก็ยากตามไปด้วย โดยสรุปคือผมคิดว่า ไอเดียเรื่องสองพระองค์ขัดแย้งกันเป็นอะไรที่คิด และขยายความกันไปเสียมากกว่า"
ขณะที่ คุณจรรยา ยังได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เพิ่มเติม ผ่านเฟสต์บุ๊คของตัวเองด้วยว่า "ผมไม่เชียร์ใครทั้งนั้นฮะ ไม่ว่าฟ้าชายหรือพระเทพ ผมว่าสถาบันกษัตริย์ไทยได้ทำลายตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ในการที่ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง รวมทั้งไม่ได้พยายามปรับปรุงตัวใดๆ เลย เพื่อจะทำตัวเป็นแบบอย่างของคนที่ควรจะเป็น "กษัตริย์" หรือ "ราชินี"
ที่สมควรได้รับการยกย่องชื่นชม ประเทศไทยจะเดินหน้าได้ต้องทำให้คนทั้งประเทศเคารพหลักการ "ประชาธิปไตย"โดยไม่จำเป็นต้องมีสถาบันกษัตริย์ ที่มีหน้าทีเดียวในตอนนี้ คือ เพื่อให้ทหารและคนกลุ่มหนึ่งใช้อ้าง "เหยียบหัวและเข่นฆ่า" คนร่วมชาติ
วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557
'บวรศักดิ์' แบไต๋สิ่นไส้ว่าจะหนุนใครเป็น ร.10
หลักฐานซ่อนในใจหลุด:ชัดแล้ว'บวรศักดิ์'รองประธานสภาปฏิรูปและประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญสายสัมพันธ์จุฬารับงานจะหนุนพระเทพขึ้นเป็นรัชกาลที่10 รธน.ก็จะร่างให้ระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอเพื่อให้รัชกาลที่10 ที่เป็นผู้หญิงเข้มแข็ง
จากโพสท์
https://www.facebook.com/VoicesOfSiam/photos/a.311169832239171.73183.311158728906948/822962514393231/?type=1&relevant_count=1
- - - - -
ผู้หญิงจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
"ความจริงสมเด็จพุฒาจารย์โตท่านจะบอกว่ารัชกาลที่ 10 นั่นคือ สาววิไล แปลว่าท่านกำลังพยากรณ์ว่าผู้หญิงจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินประเทศไทยนี้ ซึ่งมีเค้ามูล"
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ
21 พฤศจิกายน 2557
ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=wKiu-BkNH9I
ข่าวลับกรองแล้ว 1 ธันวาคม 2557
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย(สปท.) http://thaiscandemo.blogspot.com/
*1 ธันวาคม วันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ไทย 2 ธันวาคม วันก่อตั้ง สปป.ลาว. แล ะ5 ธันวา เห็นท่ากษัตริย์ไทยจะไปไม่รอด
*เปิดหนังจริง "ศึกชิงบรรลังก์วังทอง" แล้วตรงตามที่สปท.รายงานมาตลอดหลังจากที่วังจัดฉายแต่หนังตัวอย่างตัดต่อภาพมีแต่เฉพาะดาราแสดงทักษิณโดยถูกด่าว่าขาดคุณธรรมแต่ไม่มีดาราจากรอบรั้ววังแสดงบทที่ขาดแหว่งคุณธรรมเลย แต่วันนี้ออกมาจนแน่นจอ
*อย่าได้ตำหนิ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ว่ารีดไถเป็นมาเฟียอ้างหาเงินส่งเจ้าเลยเพราะเป็นเรื่องจริงและไม่ได้เป็นเฉพาะคนแต่เป็นทั้งระบบราชการที่ขูดรีดประชาชนขึ้นมาตามลำดับและส่งส่วยจนถึงวังสายใครสายมัน เพียงแต่วันนี้เกิดแตกกันการกำจัดและยัดข้อหาก็เกิดขึ้น จับตรงใหนถูกตรงนั้น โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
*30-40ปีก่อนใช้เครือข่ายระบบราชการทหารตำรวจนักการเมืองรีดไถแล้วนำถวายส่วยขึ้นเบื้องบนแต่ระยะ30ปีหลังวังได้เพิ่มระบบรีดไถโดยตรงโดยลงมาเล่นเองอีกระบบหนึ่ง เช่นให้กระทรวงการคลังออกธนบัติที่ระลึกรีดไถประชาชนใบละ60บาทขายใบละ100บาท(รีดไพร่คนยากคนจน),ใบละ500บาทกับใบ1,000บาทมีขาดใหญ่เท่ากระดาษA4ขายใบละ500,000บาทและใบละ1,000,000บาท(รีดพ่อค้านายทุน)เพื่อระดมเงินขึ้นทูลเกล้า...ยังจำกันได้ใหมธนบัตรที่ระลึกที่ซื้อเก็บกันเพราะแต่ก่อนคนเรายังโง่?
*แบ่งสายออกรีดไถในรูปพระราชทานปริญญาบัตรเสด็จครั้งหนึ่งอธิการต้องจัดหาเงินถวายครั้งละอย่างน้อย1ล้านบาท..ไม่ได้มีพระเมตตาไปแจกฟรีหรอกนะ..เงินนี้ก็เก็บเป็นรายหัวจากนักศึกษาหัวละ1,000บาท ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการรับปริญญาทุกมหาลัยต้องเก็บนักศึกษาหัวละ5,000บาทขึ้น
*อย่าพูดเลยว่าในครอบครัวอลเวงพระเทพเป็นคนดีมีแต่ฟ้าชายเท่านั้นทีไม่ดี เรื่องเงินทั้งพ่อแม่ ลูกทั้งหญิงชาย หลานทุกคนชอบทั้งนั้นหากันควักหมด...ไอ้เรื่องพอเพียงเอาไว้หลอกไพร่กับพวกสลิ่มที่ยอมโง่เท่านั้น...จะเปิดให้เป็นตัวอย่างเพื่อให้รู้ว่าสปท.มีแหล่งข่าวจริงเอาใหม?
*มหาลัยระดับท๊อปเทนเช่นจุฬา,ธรรมศาสตร์ มหิดล พระเทพรับแจกและรับเงิน,ราชภัทรฟ้าชายรับทั้งหมดทั่วประเทศจำนวนมากทำเงินดีโดยเฉพาะเสี่ยกำหนดเลยว่า1นาทีต้องจัดให้นักศึกษาเข้ารับได้30-32คน(1นาทีทำเงินได้30,000บาท,ค่าแรงสูงกว่าอดีตประธานาธิบดีคลินตันเดินสายออกรายการเสียอีก)ด้วยเหตุนี้อธิการราชภัทรพิษณุโลกนายสว่างจึงเป็นคนโปรดต้องตามเสด็จทุกภาคเพราะจัดได้ตามพระประสงค์ดังนั้นรัฐประหารเมื่อครั้งปี2549ก็รับบำเหน็จรางวัลเป็นสนช.,องค์เล็กจุฬาภรรับมหาวิทยาลัยประเภทเกษตรทั้งหมด,องค์โตทูบีนำเบอร์วันรับแจกให้มหาลัยเอกชนทั้งหมด,องค์โสมรับแจกให้มหาลัยพยาบาลทั้งหมด...และทุกคนอ้างเป็นตัวแทนภูมิพล..ที่สำคัญเงินที่รับไม่ได้แจ้งเสียภาษีและไม่ต้องแสดงทรัพย์สิน...อย่างนี้เรียกว่ารีดไถใหม?
*ถ้ายังไม่ชัดตามมาดูอีกทุกวันนี้ทุกพระองค์ส่งสายลงไปหางานกับมวลชนเลย. วัดใหนอำเภอใหนศาลเจ้าใหนจะให้เปิดงานยกช่อฟ้าเปิดอาคารรวมทั้งไปเป็นประธานงานเผาศพบอกมาได้แต่คนจัดจะต้องถวายเงินต่ำสุด500,000บาทขึ้นไปตามแต่ฐานันดรของผู้เสด็จมาโดยผู้ว่านายอำเภอในแต่ละพื้นที่ต้องรับรู้และต้องรู้หน้าที่โดยจะหาเถ้าแก่ เถ้าแกเนี้ย อาซิ้มอาซ้อ ที่อยากมีรูปถ่ายกับพระองค์ไปรับพระราชทานเข็มพระนามย่อจากพระหัตถ์ฉของใครของมันตามที่เราเห็นในข่าวสองทุ่มแต่ทุกคนที่ไปรับจากพระหัตถ์ต้องจ่าย20,000บาทเป็นอย่างน้อย
*เอาอีกหน่อยใหมรายการซื้ออาวุธประมูลงานราชการต่างๆตอนหลังวังลงมาจัดเองรับคอมมิชชั่นเองดังนั้นราคาสินค้าแพงจากตลาดมากเท่าไรหนังสือพิมพ์เจาะอย่างไรก็ต้องหยุดเช่นซื้อเครื่องบินกริฟฟิ่นจากสวีเดนสมัยช่วงรอยต่อการยึดอำนาจปี2549 พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็นผบ.ทหารอากาศพอดีก็จัดถวายไปรับเงินเองเลยที่สวีเดน(จะเห็นช่วงนั้นเสด็จสวีเดนบ่อยสลับกันในครอบครัว) หลังเกษียณแล้วพล.อ.อ.ชลิตจึงได้รับโปรดเกล้าเป็นบำเหน็จให้เป็นองคมนตรี
*เรื่องมันยาวเอาแค่นี้ก่อนส่วนการขูดรีดในนามระบบธุรกิจในนามปูนซีเมนต์ไทย บริษัทผูกขาดผลิตกระดาษสยามคร๊าฟ กิจการธนาคาร หุ้นในบริษัทห้างร้านต่างๆรวมทั้งค่าเช่าทีดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีอยู่ทุกจังหวัดอีกมากมายมีพูดถึงกันมากแล้ว...ก็อย่างนี้จึงรวยที่สุดในโลก
*รายได้จากระบบผูกขาดธุรกิจก็มากมายมหาศาลอยู่แล้วยังมีรายได้จากการรีดไถถึงตัวอีกตั้งแต่ไถเยาวชนถึงคนแก่ ส่วยหวยใต้ดิน ของเถื่อน วิ่งตำแหน่งราชการ ประมูลงาน ดังนั้นถ้าไม่รวยที่สุดในโลกก็จะเป็นเรื่องแปลก..แต่ปัญหาพอจะตายนิซิเป็นปัญหาว่าผลประโยชน์เหล่านี้ใครจะเข้ามารับต่อในนามรัชกาลที่10
*ยืนยันอีกครั้ง"ไม่มีหรอกขบวนการล้มเจ้า..มีแต่ขบวนการรอเจ้าล้ม"
*วันนี้ขบวนการรอเจ้าล้มทั้งแดงทั้งเหลืองกำลังตาสว่างว่าความเน่าเฟะของวังเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องผลประโยชน์มหาศาลและเป็นเรื่องที่เขาทำตัวเอง,ใช้112ปิดความเน่าห้ามคนพูดห้ามคนคิดปิดหูปิดตาก็เอาไม่อยู่เพราะเน่าส่งกลิ่นคลุ้งจน"เจ้าจริง"ต้องเปิด"เจ้าเจี้ยว"ศรีรัศม์แม่ของลูก
*รายละเอียดเรื่องปราบปรามแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์คงทราบกันมากแล้วไม่ต้องพูดถึง,สปท.ขออัพเดท"ข่าวลับกรองแล้ว"ให้รู้กันทั่วไปแบบไม่มั่ว,เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเรื่องปราบมาเฟียในเครื่องแบบกลุ่มพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พระญาติหม่อมศรีรัศม์ี เพราะประธานมาเฟียใหญ่คือกษัตริย์ภูมิพลที่สร้างเครือข่ายรีดไถประชาชนมานานแล้วเพียงแต่วันนี้เกิดจาก2ปัจจัย1.เสี่ยหมั่นใส้หม่อมศรีรัศม์มานานแล้วที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสี่ยชนิดที่ขัดใจเสี่ยจะหาความสุขกับหม่อมเล็กหม่อมน้อยตามอัทธยาศรัยโดยเฉพาะตามไปราวีตบตีหม่อมใหม่พลตรีสุทิตา วชิราลงกรณ์ ที่กำลังหลงไหลถึงมิวนิค,เสี่ยเคยบอกกับหม่อมศรีรัศม์ีหลายครั้งนานแล้วว่า"ตั้งได้ก็ปลดได้"แต่เธอไม่เชื่อเพราะถือว่าเป็นวรชายาและมีทีปังตอเป็นตัวประกัน2.เรื่องหม่อมหยอยเป็นปัญหาที่องคมนตรีและน้องทอมถ่างและน้องถั่วปากอ้าและบรรดาขุนทหารอึดอัดที่จะกราบพระราชินีรัชกาลที่10หอยเหม็น,จึงสบโอกาสจัดการแบบม้วนเดียวจบเพื่อให้การขึ้นรัชกาลที่10ราบรื่น...แต่สปท.ขอยืนยันว่ามันจะไม่จบตามที่กองเชียร์ฟ้าชายมโนเพราะนี้คือการนับถอยหลังของการพังทะลายของราชวงศ์จักรีและยืนยันว่าจะต้องมีเสียงปืนดังในวังแน่นอนเพียงแต่ใครจะเป็นศพและการกวาดล้างและการปราบดาภิเษกจะเกิดขึ้น,การยัดข้อหาที่ร้ายแรงกว่าที่กระทำกับเครือญาติศรีรัศม์ีวันนี้จะเกิดขึ้นอีกและแรงกว่านี้อย่างแน่นอน
*การกำจัดเครือข่ายศรีรัศม์อย่างรวดเร็วรุนแรงและเหี้ยมโหดอย่าพึ่งคิดว่าจะจบง่ายเพราะหม่อมศรีรัศม์ได้กลายเป็นเลือดในราชวงศ์จักรีที่เธอได้เล่นบทเชื้อพระวงศ์ตามที่คณะลิเกจักรีวงศ์ใช้คุกตะรางอำนาจ112กดคอคนให้ต้องเคารพเชื้อพระวงศ์และหลอกลวงประชาชนทางวัฒนธรรมไว้ว่าทุกคุณที่เป็นเจ้าล้วนแต่เป็นผู้มีบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนถึงขนาดวิกิพีเดียต้องระบุคำนำหน้าชื่อพ่อแม่ของหม่อมศรีรัศมี์ว่า"พระบิดาชื่ออภิรุจ อัครพงศ์ปรีชา,พระมารดาชื่อวันทนีย์ อัครพงศ์ปรีชา"และชาวสมุทรสาครรายงานว่าอาชีพเก่าของพระบิดาเป็นคนถีบสามล้อแต่การดำเนินชีวิตประจำวันวันนี้ก็กลายเป็นเจ้าทุกกระเบียดนิ้วไปแล้วแม้กระทั่งไปตัดผมก็ต้องมีตำรวจตามไปรักษาความปลอดภัยและขี้ข้าตามไปเก็บพระเกศากลับวังจะไม่ยอมปล่อยให้ช่างตัดผมใช้ไม้กวาดกวาดพระเกศาลงถังขยะโดยเด็ดขาด..ก็พระบิดาพระมารดาของเธอยังขนาดนี้แล้วพระลูกยาเธอจะขนาดใหน,แล้วอยู่ๆจะให้พระวรชายาพระมารดาพระเจ้าหลานเธอทีปังตอยอมง่ายๆเป็นไปไม่ได้เพราะเธอก็กุมข้อมูลไว้ไม่น้อย,วันนี้แม้จะรีบตัดมือตัดตีนของเธอแต่เธอได้กลายเป็นเลือดของราชวงศ์และเมื่อสุดหนทางเลือดก็จะกลายเป็นพิษในร่างกายถ่ายออกให้หมดได้ยาก,เพียงแต่เธอขอลี้ภัยในต่างประเทศและประทานสัมภาษณ์ราชวงศ์ก็ฉิบหายแล้ว.แต่บทโหดที่จะเกิดขึ้นยังมีอีกที่แต่ละฝ่ายจะต้องนอนผวาเพราะจะมีบ่างซ้อนแผนใช้ศรีรัศมี์เป็นเครื่องมือทำลายเสี่ยตลบหลังพร้อมป้ายสี...โปรดติดตามตาอย่ากระพริบ
*ล่าสุดเสี่ยได้ถอดยศถอดตำแหน่งญาตหม่อมศรีรัศมี์และจับเข้าคุกหมดพร้อมให้ถอดนามสกุลพระราชทาน"อัครพงศ์ปรีชา"ให้กลับไปใช้สกุลเก่าที่ไพเราะแบบภูมิปัญญาชาวบ้านว่า"เกิดอำแพง"เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเดาให้ลำบากว่าเสี่ยจะจัดการหย่าหรือไม่,ไม่ต้องถามเพราะจัดการเด็ดขาดแน่เพียงแต่จะเอาแม่ของทีปังตอติดตะรางหรือไม่เท่านั้นเพราะขณะนี้พระบิดาและพระมารดาของเธอหลบตายออกต่างประเทศแล้ว
*งานตัดมือตัดตีนศรีรัศมี์ครั้งนี้ได้เปิดเผยระบบยุติธรรมไทย,ศาลไทยด้วยตัวเองว่าเป็นระบบยุติธรรมตามสั่งและศาลตามสั่ง ดังนั้นกระบวนยุติธรรมและศาลที่จัดการทักษิณและกำลังจะจัดการยิ่งลักษณ์จึงเป็น"ยุติธรรมตามสั่งของวัง"...ชัดดี..ยุติธรรมตามใจฉัน
*ตี4วันที่24สมยศ พุ่มพันมั่ว ผบ.ตำรวจถูกเรียกมาออกคำสั่งย้าย,พอฟ้าสางศาลก็ออกหมายจับให้ทันทีทั้งๆที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไม่ได้มีพฤติกรรมก่อจราจลปิดกรุงเทพให้ใครเดือดร้อนและไม่มีเหตุอันกลัวได้ว่าจะหลบหนีศาลก็ออกหมายจับตามสั่งได้ทันที,เมื่อเปรียบเทียบกับแกนนำกปปส.ที่ก่อจราจลปิดกรุงเทพคนเดือดร้อนไปทั่วเพื่อจะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่พอตำรวจในขณะนั้นขอศาลออกหมายจับศาลดันมีเหตุผลไม่ยอมออกให้ดันแสดงตัวเป็นผู้บูชาสิทธิมนุษยชนแต่ความจริงก็คือตามสั่งวังสายเทพถ่างบ่างเปรมที่หนุนสุเทพเดินเครื่องปิดกรุงเทพเองในขณะนั้น
*วันต่อมาเพียงวันเดียวก็มีคำสั่งปลดคณะนายตำรวจทหารญาติศรีรัศมี์ทุกตำแหน่งยึดทรัพย์ทันทีโดยไม่ต้องมีหมายและศาลยังไม่ทันได้รับฟ้องแล้วก็จัดการฆ่าพตอ.อัครวุฒิ์โดยจับโยนตึกในค่ายทหารแล้ววันต่อมาก็จัดเผาทำลายหลักฐานทันที...ทำกันอย่างไม่เกรงใจพระเจ้าหลานเธอพระองค์ภาที่ทรงปฏิบัติหน้าที่ดูแลด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยในฐานะฑูตประจจำสหประชาชาติเลย...ตอแหลกันทั้งนั้น
สิ่งที่จะต้องจับตาใกล้ชิด อย่าพึ่งคิดว่าหนังจะจบง่ายด้วยการที่ฟ้าชายขึ้นเป็นรัชกาลที่10เพราะฤทธิเดชของระบอบอำมาตย์แผลงฤทธิ์มานานนับแต่ต้นราชวงศ์อยุธยามาแล้ว. และฤทธิ์เดชเฒ่าเปรมก็ไม่ใช่ย่อย คอยดูวันตลบหลัง555 แล้วพบกันใหม่/ จบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)