วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

เห็นข่าวประมุขศาสนาเยือนอเมริกาแล้วหันหน้ามองไทยมีแต่ทำลายลูกเดียว: บทศึกษาผู้นำรัฐกับศาสนาในโลกศิวิไลซ์



โป๊ปพบโอบามาสง่าประมุขรัฐ
เจ้ากำจัดพระไทยไม่ให้หือ
ดีเอสไอถูกใช้คล้ายกระบือ
เป็นเครื่องมือทำลายธรรมกายพัง

-----กวีศรีมหาชน-----
      24กันยา58


บทศึกษาในโอกาสสันตปาปาประมุขแห่งคริสต์ศาสนาเยี่ยมโอบามาที่ทำเนียบขาว ผู้นำระดับโลกให้เกียรติ์พระศาสนาเปิดทำเนียบต้อนรับต่างจากไทยที่ คสช.ภายใต้คำบงการของราชสำนักกำลังจ้องทำลายพุทธศาสนาสายนิกายอื่นด้วยเชื่อว่าไม่อยู่ในอำนาจของตนตั้งแต่การไม่ยอมตั้งพระสังฆราชที่เชื่อว่าไม่ใช่พวกตนจนสำเด็จเกี่ยวสิ้นชีวิตและทำลายพระดังทุกรูปที่ประชาชนนับถือแต่ไม่ยอมก้มหัวให้วังตัวอย่างขณะนี้คือการใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือเข้าทำลายวัดธรรมกาย



































วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ฮอตสุดๆข่าวหลุดเรื่องวังจากสื่อดังระดับโลก "นิวยอร์คไทม์" (แปลแล้ว)


ต้องรีบอ่านไม่นานมันจะลบแล้วโกหกว่าทักษิณจ้างเขียน

หลังจากที่เกือบเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมาบนบัลลังก์ของภููมิพลสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ทางการแพทย์ถี่ขึ้นเรื่อย ๆสำหรับรายละเอียดโรคภัยไข้เจ็บและเมื่อวันก่อน 

ลูกสาวคนสุดท้องนำประชุมสวดมนต์พิธีทางุศาสนาโดยปกติจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่ใกล้ตายความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของกษัตริย์สร้างความวิตกกังวลทั่วประเทศทีมีเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดในเอเชียและถูกปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วทายาทของบัลลังก์ก็มีชื่อเสียงในฐานะเป็นเพลย์บอยและขณะนี้ก็ต้องพยายามเข็นครกขึ้นภูเขาที่จะชนะความไว้วางใจและได้รับความรักจากประชาชนเหมือนที่พ่อของเขาประสบความสำเร็จ 

คนไทยหลายคนหวังว่าพระเทพฯน้องสาวที่ได้ความชื่นชมมากกว่าแต่กฎมณเทียรบาลก็กีดกันผู้หญิงจากบัลลังก์ความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนกษัตริย์ทำให้มีการอภิปรายว่าสถาบันกษัตริย์ของไทยควรจะเป็นแบบไหน
แต่ก็เป็นการอภิปรายที่ไม่มีผลอันใดเพราะความรุนแรงของกฎหมายหมิ่น
กฎหมายถูกตีความอย่างกว้างๆและปกติไม่เกินเดือนนึงก็ตัดสินลงโทษส่งไปยังคุกนานถึง15ปีแต่โชคดีที่มีอินเทอร์เน็ตกับความเห็นที่ไม่ระบุตัวตน
และยูทูปมีการเคลื่อนไหวของประชาชนหัวก้าวหน้าและเสรีนิยมที่เพิ่มมากขึ้นเป็นสิ่งที่ท้าทายสถาบัน

"การเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบปัจจุบันเนื่องจากความจริงที่สถาบันกษัตริย์้
ทำตัวเป็นพระเจ้าผ้ยิ่งใหญ่ ห้ามวิจารณ์เด็ดขาด" ส.ศิวรักษ์กล่าว"ยิ่งคุณทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพนับถือมากขึ้นยิ่งกลายเป็นสถาบันที่ไร้การรับผิดชอบและคนจำนวนมากรับไม่ได้."สิ่งที่สนับสนุนมุมมองดังกล่าวคือมกุฎราชกุมารที่มีการหย่าร้างจากสามภรรยาและในปีที่ผ่านมาใช้เวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตอยู่ในยุโรปหรือที่ไหน่ไม่มีใครรู้เพราะคุณไม่สามารถพูดถึงได้

แม้ความพยายามที่จะพูดคุยเกี่ยวกับการมีการสนทนาดังกล่าวได้ถูกถามในปี2010ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ที่ Johns Hopkins University ก็ยอมรับว่าคนไทยควรจะมีโอกาสพูดถึง"เรื่องต้องห้าม."นี้อย่างเปิดเผย"ผมคิดว่าเราต้องพูดคุยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์" เขากล่าว"วิธีทีจะต้องปฏิรูปตัวเองไปยังโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่ทันสมัยเหมือนที่อังกฤษหรือดัตช์หรือเดนมาร์กหรือลิคเคนสไตน์ที่สถาบันกษัตริย์ได้ปรับตัวเองให้เข้าสู่โลกสมัยใหม่. "

กษิตได้พูดต่ออย่างเร็วว่านี่ไม่ใช่ความเห็นรัฐบาล แต่เป็นความคิดเห็น"ส่วนบุคคล"และไม่นโยบายอย่างเป็นทางการส่วนรัฐบาลเผด็จการทหารก็เลือกที่จะตอบโต้อย่างรุนแรงต่อผู้วิจารณ์โดยอ้างความชอบธรรมจากการที่กษัตริย์เซ้นต์รับรองตำแหน่งตัวเองในฐานะผู้พิทักษ์ที่ดีที่สุดของสถาบันนายพลเผด็จการได้จำคุกผุ้ทีวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไปหลายสิบรายและในปีนี้มีการใช้จ่าย540ล้านเหรียญสหรัฐมากกว่างบประมาณทั้งหมดของกระทรวงการต่างประเทศเสียอีกในแคมเปญปกป้องและรักษาสถาบันกษัตริย์."

แคมเปญโฆษณาทางโทรทัศน์รวมถึงการสัมมนาในโรงเรียนและในเรือนจำ,การแข่งขันการร้องเพลงและการแข่งเขียนนิยายเรื่องสั้นและทำหนังสั้นยกย่องกษัตริย์ทหารยังสร้างรูปปั้นยักษ์ของกษัตริย์ในอดีตทีหัวหินแต่ออกข่าวว่าเป็นเงินบริจาคทีใช้ในการสร้าง"นี่ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ" ประยุทธผู้นำของรัฐบาลเผด็จการทหาร่กล่าว"เยาวชนต้องศึกษาในสิ่งที่พระมหากษัตริย์ได้ทำ."ในเดือนที่ผ่านมากลายเป็นเรื่องแปลกที่เผด็จการทหารกระตือรือร้นที่จะโปรโมทชือเสียงของ วชิราลงกรณ์นายประยุทธใช้เวลากับมกุฎราชกุมารขี่จักรยานท่องเที่ยวในกรุงเทพฯพร้อมกับถ่ายทอดสดทั่วประเทศเพื่อแสดงความเคารพต่อสิริกิติ์มารดาผู้มีสุขภาพย่ำแย่เหมือนภูมิพลสิริกิตต์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าวชิราลงกรณ์เป้นเด็ก,แข็งแรงและเป็นพ่อที่ทุ่มเท,และเจ้าชู้เหมือน ดอนฮวน

นายกษิตกล่าวว่าการขี่จักรยานเป็น "จุดเปลี่ยน" สำหรับวชิราลงกรณ์"ไม่มีข้อสงสัยเลยในหมู่ทหารว่าใครจะได้เป็นกษัตริย์คนต่อไปของไทย"การสนับสนุนวชิราลงกรณ์ของทหาร ซึ่งในเวลาปกติ ทหารก็เป็นพันธมิตรของกษัตริย์เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันเพราะกษัตริย์เป็นจอมพลของกองทัพและเป็นผู้เซ็นต์รับรองรัฐประหารนักวิจารณ์กล่าวว่าทหารและเหล่าอีลิตในกรุงเทพฯกอดกษัตริย์ไว้เพื่อที่จะหนุนอำนาจของตัวเองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกยกเลิกในประเทศไทยในปี 1932แต่ภูมิพลได้รับการปฏิบัติเช่นเทพเจ้าตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ในปี 1946สถาบันกษัตริย์ได้เติบโตขึ้นเป็นป้อมปราการของอำนาจและความมั่งคั่งสำหรับผู้แวดล้อมพิธีกรรมที่เคยถูกยกเลิกถูกนำกลับมาใหม่หมอบกราบเหมือนสัตว์ไร้กระดูกสันหลังต่อหน้ากษัตริย์ ถูกฟื้นขึ้นมาในช่วงสมัยของภูมิพลการที่ประชาชนต้องเรียกตัวเองว่าเป็น"ฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของท่าน"ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏกายในที่สาธารณะเพราะุความเจ็บป่วยขแต่ภาพของเขามีติดอยู่ทั่วไปในประเทศไม่ว่าจะอาคารของรัฐบาลทางเข้าสนามบิน สำนักงานเอกชนและโรงเรียนในประเทศที่มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยน้อยกว่า $ 9,000 ต่อปีแต่ภูมิพล กลับมีฐานะร่ำรวยชนิดว่านับได้ไม่ครบแค่ทรัพย์สินที่เปิดเผยในการถือครองของสำนักงานทรัพย์สินก็มีมากกว่าสามหมื่นเจ็ดพันล้านดอลล่าร์หรือราวหนึ่งล้านสามแสนสามหมื่นสองพันล้านบาท 
(1,332,000,000,000 บาท)ซึ่งมีผลประโยชน์ตอบแทนในแต่ละปีเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลล่าร์าตามกฎหมายไทยสามารถใช้เงินนี้้ได้"ตามใจกษัตริย์ . "

ทักษิณชินวัตรนักธุรกิจที่หันมาเป็นนักการเมือง ได้รับความนิยมและมีอิทธิพลถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อกษัตริย์ในกรุงเทพฯทหารได้ยึดอำนาจทักษิณในปี2006และล้มล้างรัฐบาลที่นำโดยน้องสาว

ยิ่งลักษณ์ชินวัตรปีที่ผ่านมาแต่ยังคงมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่จนทำให้กษัตริย์ต้องหันไปยืนหลังทหารในการรัฐประหารทั้งสองครั้งเผด็จการทหารไทยได้ใช้วิธีจัดการยัดข้อหาให้ทักษิณและยิ่งลักษณ์ไล่ปิดปากคนวิจารณ์ จำคุกคนเห็นต่าง รวมถึงอดีตคณะรัฐมนตรีรัฐบาลที่แล้วแต่การทำให้ประเทศ เห็นเหมือน ๆ กันยังคงเป็นความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับทั้งรัฐบาลเผด็จการทหารและกษัตริย์ในอนาคตการสืบต่อบัลลังก์ครั้งนี้อาจจะเป็นจุดจบหรืออาจจะเป็นโอกาสก็ได้"สถานการณ์ของสถาบันกษัตริย์ไทยจะไม่อยู่เช่นนี้นานนัก"ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ เรื่องสถาบันกษัตริย์เขียนไว้ในโพสต์ที่Facebookเมื่อเดือนธันวาคม"มีสองตัวเลือกสำหรับอนาคต 
อย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเปลี่ยนระบอบที่ทันสมัยเช่นในยุโรปหรือญี่ปุ่นหรือไม่เปลี่ยนและกลายเป็นแตกหักจนกลายเป็นสาธารณรัฐไม่มีทางเลือกที่สาม. "บางคนก็ยกเรื่องที่่ จุฬาลงกรณ์เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงลูกชายสรุปเรื่องที่จำเป็นสำหรับกษัตริย์"จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและหลีกเลี่ยงการแก้แค้น"เขาแนะนำ"การเป็นกษัตริย์ไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยมันหมายถึงการไม่ได้กลั่นแกล้งคนอื่นๆ"ความล้มเหลวที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำนี้อาจนำไปสู่การที่"ครอบครัวของเราจะหายไป."จุฬาลงกรณ์สรุป

http://www.nytimes.com/2015/09/21/world/with-king-in-declining-health-future-of-monarchy-in-thailand-is-uncertain.html?smid=tw-share&_r=4

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

แถลงการณ์ อปท.เรียกร้ององค์การจัดตั้งทางประชาธิปไตยต่างๆที่ปิดลับในประเทศไทยให้สนับสนุนการประชุมสมัชชาประชาชนฯที่ลาสเวกัส,สหรัฐอเมริกาเมื่อ6กันยายน58และศึกษาแนวทางการขับเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพ



------------------------
แถลงการณ์  องค์การเพื่อประชาธิปไตยไทย (อปท.) 
เรื่อง ร่วมกันสร้างองค์กรแนวร่วมเพื่อประชาธิปไตย

          สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ได้ก้าวมาถึงจุดที่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐปล้นชิงอำนาจอธิปไตยทั้งหมดไปจากประชาชน เพื่อสถาปนารัฐราชาธิปไตยใหม่ที่มีอำนาจสูงสุดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว เป็นการพลิกฟื้นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางมหาสมบัติพัสถานที่ได้มาจากการใช้อำนาจเหนือรัฐกดขี่ขูดรีดรีดไถและปล้นชิงตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

          การรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยเฉพาะ 2 ครั้งหลังสุดเมื่อปี 2549 และ 2557 นั้น เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในการปล้นชิงอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน  โดยไม่สนใจว่าชาวโลกได้พัฒนาการเมืองการปกครองไปอย่างไรหรือถึงไหนกันแล้ว  แต่ทำไปเพื่อสนองความต้องการส่วนตัว เพื่อความราบรื่นในการแก้ปัญหาการแย่งชิงอำนาจและราชสมบัติของลูก ๆ เท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบร้ายแรงและกว้างขวางที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติและประชาชนที่ต้องดิ้นรนอย่างลำบากยากแค้นจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำสุดขีดอันเนื่องจากการรัฐประหารภายใต้การบงการอย่างที่เป็นอยู่ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่อัปลักษณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ขณะนี้ก็เผยให้เห็นถึงความต้องการสถาปนารัฐราชาธิปไตยขึ้นมาใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
          ขณะที่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐกำลังรวบอำนาจทั้งหมดไว้แต่ผู้เดียวและเร่งพลิกฟื้นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมานั้น ก็ได้กดขี่ข่มเหงทางการเมืองและใช้ความรุนแรงกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าการล้อมฆ่าด้วยอาวุธสงครามกลางเมืองหลวง ไล่ล่า ข่มขู่ ควบคุม และจับกุมคุมขังผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมากทั้งในเมืองและชนบท บ้างก็พิพากษาจำคุกหลายสิบปียิ่งกว่านักโทษอุกฉกรรจ์ ทำให้ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยบางส่วนตัองหลบลี้หนีราชภัยพลัดบ้านพลัดถิ่นไปอยู่แดนไกล  รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง การปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง เป็นต้น
          ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ ได้ปลุกเร้าให้ประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ลุกขึ้นต่อสู้อย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มเยาวชนที่กล้าหาญ ญาติวีรชนผู้รักประชาธิปไตย ฯลฯ ได้เกิดการจัดตั้งกลุ่มพลังและองค์กรต่าง ๆ ที่ต่อสู้ในรูปแบบหลากหลายทั้งเปิดเผยและปิดลับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้สื่อโซเชียลเน็ตเวอร์คต่าง ๆ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมร้อยสื่อสารถึงกัน เกิดเป็นแนวรบ 4 เขตยุทธศาสตร์สำคัญคือ ในเมือง ชนบท ต่างประเทศ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ในโลกไซเบอร์ ซึ่งกำลังขยายตัวทั้งปริมาณและคุณภาพ ถาโถมโรมรันพันตูกับทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐอย่างคึกคัก
          อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ที่ผ่านมา ยังขาดความเป็นเอกภาพ มีสภาพต่างคนต่างสู้ กระจัดกระจาย และต้องปรับตัวตามสภาพการณ์ใหม่จากที่เคยมีประชาธิปไตยกลายเป็นเผด็จการทหาร จากที่เคยมีสิทธิเสรีภาพกลายเป็นการถูกปิดกั้น จากที่เคยเคลื่อนไหวเป็นขบวนการใหญ่ได้อย่างเปิดเผยกลายเป็นต้องรวมตัวกันแบบปิดลับ จากที่เคยเคลื่อนไหวต่อสู้ได้ภายในประเทศกลายเป็นต้องต่อสู้ด้วยความจำกัดในต่างประเทศ  จากที่เคยหวังว่าจะสามารถต่อสู้ได้ภายใต้การเลือกตั้งตามวิถีทางรัฐสภาและประเทศชาติจะเจริญรุ่งเรืองประชาชนจะค่อย ๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นต้องเผชิญหน้ากับอนาคตที่มืดมนภายใต้ระบอบเผด็จการราชาธิปไตย เป็นต้น
          ผ่านความยากลำบากในการปรับตัวมาระยะหนึ่ง นักต่อสู้และกลุ่มพลังต่าง ๆ ก็สามารถรับรู้ถึงจุดอ่อนจุดแข็งในด้านต่าง ๆ ของตนและเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ ซึ่งกลุ่มพลังใดกลุ่มพลังหนึ่งยังไม่เข้มแข็งพอที่จะนำพาการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาได้โดยลำพังในขณะนี้ จำเป็นต้องเชื่อมประสานกันอย่างมีรูปการณ์ในรูปของกระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่กว้างขวางและทรงพลัง
          การประชุมสมัชชาประชาชนเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่ลาสเวกัส มลรัฐเนวาด้า สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่องค์กรและผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย ได้มาหารือเพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ในอนาคต
          องค์การเพื่อประชาธิปไตยไทย (อปท.) เป็นอีกองค์กรหนึ่งซึ่งมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับระบอบเผด็จการราชาธิปไตยและสร้างประชาธิปไตยของประชาชน โดยใช้รูปการจัดตั้งแบบปิดลับที่เข้มแข็งทุกภาคทั่วประเทศ ขอแถลงการณ์สนับสนุนการประชุมครั้งนี้อย่างเต็มที่ และหวังว่า มิตรสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตยจากองค์กรต่าง ๆ จะสามัคคีร่วมใจกันก่อตั้ง "แนวร่วมผู้รักประชาธิปไตยไทย" ขึ้นมาเป็นองค์กรนำพาการต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ

          เผด็จการราชาธิปไตย จงพินาศ !
          ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน จะต้องได้ชัยชนะ !

                            6 กันยายน 2558
------------------------

ฟังเอนกซานฟรานท่านกล่าวจบ
รู้ระบบเลวร้ายทำไทยหมอง
กษัตริย์ไทยคือหัวใจไม่ปรองดอง
การปกครองประชาธิปไตยไปไม่เป็น

-------กวีศรีมหาชน-------
        10กันยา58

*ครั้งแรกที่คนไทยกล้าประกาศกลางที่สาธารณะท่ามกลางเสียงปรบมือสนั่นหวั่นไหว
https://m.youtube.com/watch?feature=youtu.be&v=08wkwa8A_54







วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

ชมบ้านพักคนดีอยู่กินฟรีข้ามชาติจากสี่เสาถึงสนามกอล์ฟ ทบ.2



กลุ่มบ้านพักคนดีของระบอบอำมาตย์เปรมแต่แดกเงินภาษีประชาชนตั้งแต่เริ่มเรียนจนแก่เกษียนแล้วยังแดกไม่หยุดโดยใช้ภาษีประชาชนไปสร้างบ้านอยู่ฟรีใช้น้ำไฟฟรีบำนาญก็มากมายยังยึดอำนาจทำความฉิบหายให้บ้านเมืองและประชาชนอีกเลือกอยู่กัยตามสบายค่ายใครค่ายมันตั้งแต่บ้านสี่เสาเทเวศย์จนถึงสนามกอล์ฟทัพบก2 รามอินทราติดแอร์ทั้งหลังรวมทั้งห้องส้วมทหารรับใช้, เลือกกันเอาคนละหลังอยู่กันจนตายทั้งเลี้ยงเมียเลี้ยงกิ๊ก

ดูในภาพรายละเอียดถามทหารจะรู้ทุกคนว่ามีใครอยู่บ้าง,พวกมันไม่เคยอายฟ้าอายดิน,ทุกวันนี้พวกมันอยู่ได้เพราะใช้ปืนขู่และหลอกลวงประชาชนแต่ที่น่าเจ็บใจคือมีครูอาจารย์และนักหนังสือพิมพ์ส่วนหนึ่งที่รับจ้างไปรับใช้มันเพื่อมาช่วยโกหกประชาชนอีกต่อหนึ่ง





วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

ข่าวผบ.ตร.เซ็นถอดยศทักษิณตามยุทธ์สั่งทำไมจึงประดังกับข่าวในหลวงออกช๊อบปิ้งพอดี??

:ข่าวในหลวงปรากฎตัว

ข่าวผบ.ตร.เซ็นถอดยศทักษิณตามคำสั่งประยุทธ์เวอร์ชั่นพิเศษ(ตามขั้นตอนต้องทูลเกล้าแต่ความจริงไม่รู้เรื่องพูดไม่ได้และเซนชื่อไม่ได้แล้ว):

การปรากฎตัวของในหลวงนั่งรถเข็นออกมาช๊อบปิ้งเป็นความจงใจชัดเจนเพื่อจะหลอกประชาชนว่าเป็นพระสงค์และพระองค์ยังทรงมีสติสัมปชัญญะอันเป็นปกติซึ่งความจริงมิใช่เป็นเช่นนั้นเพราะภาพล่าสุดที่ประยุทธ์นำครม.ใหม่เข้าถวายสัตย์ภาพที่เห็นจะเห็นว่าในหลวงพูดไม่ได้ขยับตัวไม่ได้แค่ขยับเปลือกตาก็ยังยาก,ส่วนข่าวการนั่งรถออกช๊อบปิ้งบอกได้เลยว่าเป็นการเอาคลิปเก่าที่เคยถ่ายทำเผื่อไว้หลายคลิปในอดีตขณะที่สุขภาพยังพอไหวมาตัดต่อ(เรื่องนี้เล่นไม่ยาก)แล้วนำออกเผยแพร่เป็นการปฏิบัติการจิตวิทยาซึ่งเคยทำมาบ่อยๆไม่ว่าคลิบน้ำท่วมหรือคลิปเชียร์มวยเชียร์บอลเพื่อหลอกประชาชนว่ายังแข็งแรงทำงานได้เป็นปกติซึ่งเล่นง่ายและดูเนียนในเมืองไทยเพราะมีกฎหมายมาตร112ปิดหูปิดตาไว้จนหนังสือพิพ์และปัญญาชนหลอกตัวเองว่า"เรื่องกษัตริย์อย่าไปพูดถึงเลยเพราะไม่มีผลอะไรทางการเมือง"จนสังคมไทยกลายเป็นกบในกะลามืดบอดและหาทางแก้ไม่ได้




:ข่าวจับผู้ต้องสงสัยวางระเบิดเป็นขบวนการต่างประเทศเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน...(ติดตามข่าวตาสว่างโปรดอ่านคำเตือน)

•การตกแต่งภาพ,การจัดภาพใหม่และการนำคลิปเก่ามาตัดต่อใหม่เป็นเรื่องง่ายในโลกสมัยใหม่ของเทคโนโลยี(ดูตัวอย่างภาพตลกๆที่ให้ดูนี้)เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเรื่องการตกแต่งภาพกษัตริย์เพราะกลัวการตามล้างตามผลาญ)ดังนั้นข่าวการถอดยศทักษิณกับข่าวกษัตริย์ออกมาช๊อบปิ้งคือการโกหกสังคมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของบางคนบางกลุ่มโดยแท้...ดูตัวอย่างภาพบ้าๆทางออนไลน์ที่ทำกับทักษิณ






คำเตือน...เพื่อเข้าถึงความจริงโปรดระวังภาพถ่ายตัดต่อเสมือนจริงด้วยเทคนิคการตกแต่งภาพเช่นสีเสื้อและจำนวนคนทำให้สับสนเรื่องสถานที่และเวลาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของบางคนบางกลุ่ม



:ข่าวความจริงของคนคลั่งเกียรติยศ

•ความจริงของเรื่องเกียรติ์และยศจะคลั่งไคล้มากในประเทศด้อยพัฒนาและปกครองด้วยระบอบเผด็จการ


เรื่องราวของความบ้ายศบ้าศักดิ์ล้วนแล้วแต่เป็นวาทกรรมในสังคมระบอบเผด็จการโบราณไม่ศักดินาก็ทหารที่พยายามสร้างความคิดครอบหัวประชาชนเพื่อจะสร้างสังคมชนชั้นให้ประชาชนยอมรับคนมียศศักดิ์(คือพวกของตัวที่เป็นคนกลุ่มน้อยแต่เอาเปรียบคนส่วนใหญ่)ว่าเป็นคนดีและกินภาษีประชาชนมูมมามอยู่สบายส่วนประชาชนอยู่อย่างทุกข์แต่ต้องยอมทนเพราะพวกมียศนำหน้ามีสายสะพายเป็นผู้เสียสละใกล้ชิดกษัตริย์เป็นคนน่าเชื่อถือ (ระบอบเผด็จการซ่อนรูปปชต.ก็ยังนิยมเห็นได้จากรูปถ่ายป้ายหาเสียงในไทยจะใส่ยศติดเครื่องราชเต็มไปหมดซึ่งการเลือกตั้งในยุโรปและอเมริกาที่เจริญแล้วไม่มี) ประเทศเผด็จการโบราณและด้อยพัฒนาจะทุ่มงบประมาณจำนวนมากเพื่อส่งเสริมค่านิยมนี้และหากเราพิจารณาความจริงจะยิ่งเห็นชัดว่าเหรียญตราและเกียรติยศเหล่านั้นล้วนแต่มาจากสงครามที่ปล้นเผาประเทศเพื่อนบ้านเช่นกษัตริย์พม่าที่ยิ่งใหญ่ก็มาเผาอยุธยา,กษัตริย์ไทยที่ยิ่งใหญ่ก็ไปเผากรุงเวียงจันทร์และปล้นพระแก้วเขามาและคนที่ได้ชื่อมหาราชตั้งแต่เอล็กซานเดอร์จนถึงฮิตเลอร์,มุตโสลินีที่แย่งชิงความยิ่งใหญ่เข้าไปในเอเชียและอาฟริกาก็ล้วนแต่บ้ายศบ้าสงครามและคนที่สืบทอดอำนาจเผด็จการเหล่านี้ถ้ายังมีชีวิตรอดก็จะสืบทอดอำนาจบ้าๆเหล่านี้ด้วยการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อหลอกให้ประชาชนงมงายชื่นชมในแนวคิดนี้เพื่อจะได้สืบต่ออำนาจเผด็จการกดขี่ประชาชนต่อไปดังเช่นเกาหลีเหนือ,พม่าและที่เห็นในไทยขณะนี้คือทุ่มงบไปสร้างรูป7กษัตริย์ตัวสูงใหญ่เท่ากับตึก10ชั้นโดยไม่สนใจว่าประชาชนจะมีกินหรือไม่? ยิ่งประเทศยากจนพวกนี้ก็จะยิ่งทุ่มเทงบประมาณไปซื้อหินปูนทรายโลหะเพื่อสร้างสัญญลักษณ์เผด็จการและยิ่งต้องสร้างให้ยิ่งใหญ่