วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ข่าวกอท.เสรีไทย..จากไทยถึงไทยผู้รักประชาธิปไตยไม่โดดเดี่ยว
ข่าวกอท.เสรีไทย..ช่วยขยายต่อ
"จากไทยถึงไทยผู้รักประชาธิปไตยไม่โดดเดี่ยว"
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
27พย.57
_______________
Home Away From Home
ไกลบ้าน:บ้านห่างออกไปจากที่บ้าน
Pro-democracy activists from Thailand are banding together in exile rather than submitting to the military junta.
กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยจากประเทศไทย ที่ยอมถูกแบนจากเผด็จการทหารดีกว่าสยบสมยอมให้แก่รัฐบาลเผด็จการทหาร
- - - - - - - - -
บทความ/สัมภาษณ์ โดย JONATHAN SCHIENBERG
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2014
- - - - - - - -
นิตยสาร Foreign Policyลงบทสัมภาษณ์ของนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของไทยที่ลี้ภัยในต่างประเทศ เช่น นายอรรถชัย อนันตเมฆอดีตนักแสดงและแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดงที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศที่ระบุว่าตนเลือกที่จะลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศแทนที่จะยอมเข้ารายงานตัวกับคสช.และอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลทหาร เนื่องจาก คสช.ไม่มีความชอบธรรมและกำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนไทย โดยนิตยสาร Foreign Policyอ้างรายงานของ Human Rights Watch (HRW) ว่า นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยของไทยจำนวนมากลี้ภัยการเมืองออกจากไทย
- - - - - - - - -
และขณะที่รัฐบาลทหารละเมิดเสรีภาพทางการเมืองในประเทศ กลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้รวมตัวกันสร้างกลุ่มและเครือข่ายในต่างประเทศเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหาร เช่น องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยที่ใช้การเคลื่อนไหวผ่านสังคมออนไลน์เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร
- - - - - - - - -
นอกจากนี้ นิตยสาร Foreign Policy กล่าวว่าได้สัมภาษนายศรัณย์ฉุยฉาย(อั้มเนโกะ)ที่บอกว่าไม่ไปรายงานตัวและลี้ภัยออกจากไทยเพราะคสช.จะคุมขังตนในเรือนจำซึ่งเป็นสถานที่อันตรายสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ และเชื่อว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ตนเองอาจกลับไทยได้ เพราะสถาบัน xxx จะสิ้นสุดลงและไทยอาจปกครองด้วยระบอบ xxxx
- - - - - - - - -
นายจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์การเสรีไทยฯ ที่ยืนยันว่า องค์การเสรีไทยฯ ไม่ใช่การรวมกลุ่มของคนเสื้อแดงแต่เป็นองค์การสำหรับผู้ที่สนับสนุนประชาธิปไตยและต่อต้านระบอบเผด็จการอย่างแท้จริงโดยองค์การได้ดำเนินการกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลทหารไปแล้วหลายอย่างเช่น การรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์และกำลังร่างรัฐธรรมนูญเพื่อใช้คัดค้านกับฉบับที่รัฐบาลทหารกำลังร่าง
ทั้งนี้ นายจักรภพชี้ว่า สถาบันกษัตริย์ต้องพร้อมที่จะปฏิรูปเพื่อให้สามารถดำรงอยู่ได้ควบคู่ไปกับระบอบประชาธิปไตยโดยยกตัวอย่างสถาบันกษัตริย์ในสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากนี้สื่อดังกล่าวระบุว่า นาย David Streckfuss นักเขียน/อาจารย์ชาวอเมริกันที่เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ฯและมาตรา112ว่าบทบาทขององค์การเสรีไทยฯ มีน้อยมากเพราะคสช.ห้ามประชาชนวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อย่างไรก็ดีStreckfussเชื่อว่าองค์การเสรีไทยฯจะเป็นกลุ่มแกนนำต่อต้านรัฐบาลทหาร เนื่องจากเป็นการรวมตัวของผู้สนับสนุนประชาธิปไตย นักวิชาการ นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน
- - - - - - - - -
ข่าวจากเว็บไซต์ Foreign Policy
http://www.foreignpolicy.com/articles/2014/11/25/home_away_from_home_thailand_exiles
- - - - - - - - -
วีดีโอสัมภาษณ์
- จักรภพ เพ็ญแข
- อั้ม เนโกะ
และนักศึกษากลุ่มดาวดินก่อนจะไปทำกิจกรรมต้านประยุทธ์
จัดทำโดย Foreign Policy ซึ่งเผยแพร่ทาง Vimeo
ชื่อวีดีโอ : The Threat of Exile
https://vimeo.com/112832418
- - - - - - - - -
ภาพประกอบเนื้อหา จากวีดีโอของ Foreign policy
แปลความหมายจากข้อความในภาพ ได้ว่า
ในช่วงระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มีการรัฐประหารเกิดขึ้นถึง2ครั้งในประเทศไทยและเกิดการข่มเหงทางการเมืองทำให้มีคนไทยจำนวนนับร้อยคนต้องออกเดินทางไปพำนักยังประเทศอื่นๆ อาทิยุโรปสหรัฐอเมริกา กัมพูชา ลาว และประเทศอื่นๆในแถบอาเซียน
- - - - - - - - -
แปลโดย พิลาสินี PJ.
เรียบเรียงและแก้ไขโดย กู
วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
คำแถลงเลขาองค์การเสรีไทยฯ: 6เดือนรัฐประหารย้ำแนวทางชัดเจน"คุณสู้อยู่กับใคร"
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
24พย.57
________________
ยุทธศาสตร์ 3
ขั้น ขบวนเสรีไทยฯ “รับ-ยัน-รุก” จารุพงศ์
- ประกาศไม่สู้ด้วยอาวุธ แต่ติดปัญญาให้คนไทยตาสว่าง รอวันรุก เมื่อทหาร-ตำรวจ
เป็นของประชาชน
Sat, 11/22/2014 - 22:17 jom
ยุทธศาสตร์ 3
ขั้น ขบวนเสรีไทยฯ “รับ-ยัน-รุก” จารุพงศ์
- ประกาศไม่สู้ด้วยอาวุธ แต่ติดปัญญาให้คนไทยตาสว่าง รอวันรุก เมื่อทหาร-ตำรวจ
เป็นของประชาชน
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ( Free Thai
Organisation for Human Rights and Democracy ) ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia.com
ว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
เครือข่ายองค์การเสรีไทยภาคยุโรปและอเมริกา ประกอบด้วย นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ค
เยอรมัน และอเมริกา ได้ประชุมหารือผ่านระบบ Skype - conference เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว
ซึ่งตนได้เสนอแนวทางให้วิเคราะห์ 3 แนวทางคือ 1.ต้องถามตัวเองว่าสู้เพื่ออะไร
2. สู้อยู่กับใคร
อย่าเป็นเหมือนวัวกระทิงที่สู้อยู่กับผ้าสีแดงเพียงอย่างเดียว และ 3. ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เป็นอย่างไร
นายจารุพงศ์เปิดเผยว่า
ยุทธศาสตร์ขององค์การเสรีไทยฯมี 3 ขั้นคือ ขั้นรับ ขั้นยัน และขั้นรุก
ตอนนี้ทำได้เพียงการตั้งรับเท่านั้น คือซุ่มซ่อน และรอคอยโอกาส
โดยแต่ละกลุ่มเครือข่ายจะทำงานลักษณะเสรีชน แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง
ขณะนี้ถ้าเปรียบการต่อสู้ก็เหมือนอยู่ในขั้นที่เรียกว่า เข็นครกขึ้นภูเขา
จะหนักและยากที่สุด แต่เมื่อถึงยอดเขาแล้ว ก็จะเข้าสู่ยุทธศาสตร์ขั้นรุก
ซึ่งจะง่ายขึ้น
นายจารุพงศ์กล่าวว่า มีการถามและบ่นกันมากว่า
องค์การเสรีไทยฯไม่ได้มีแผนที่ชัดเจนและไม่รู้ว่าจะชนะเมื่อไร ขอบอกว่า
ขนาดมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ยังถูกรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก นับประสาอะไรกับองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพียงไม่ถึงปี
“ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่จะทำให้ท้อ
แต่หัวใจสำคัญของการต่อสู้ และเป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นคือหลัก Rule of
Majority คือหลักของการใช้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน
แต่ต้องเคารพและรับฟังเสียงส่วนน้อยด้วย กฎนี้จะทำให้ได้มาซึ่งผู้มีอำนาจจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
แล้วถึงจะเข้าสู่หลัก Rule of Law ที่มีระบบศาล รัฐสภา
กระบวนการนิติบัญญัติ กระบวนการยุติธรรม โดยที่มาจากประชาชนทั้งหมด
นี่คือหลักคิดและตัวตนของผม ” นายจารุพงศ์กล่าว
นายจารุพงศ์กล่าวต่อไปว่า
ส่วนยุทธศาสตร์ขั้นยัน จะต้องประเมินจากประชาชนคนไทยส่วนใหญ่
และสังคมโลกที่สนับสนุน คือต้องทำให้ทหาร กลับมารับใช้ประชาชน
ไม่ใช่เป็นทหารของพระราชา เพราะทหารกินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน
“การที่ทหารไทย ประกาศว่า
ตัวเองเป็นทหารของพระราชานั้น เพราะเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2457
สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งยังปกครองในระบอบราชาธิปไตย
และนี่คือที่มาของการบังคับใช้กฎอัยการศึก ที่ให้อำนาจทหารแต่ละพื้นที่ประกาศใช้
กฎอัยการศึกได้ เหตุนี้เองที่ทำให้ตลอด 82 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เกิดรัฐประหารขึ้นมากกว่า 20 ครั้ง และประสบความสำเร็จถึง 17
ครั้ง นับเป็นการใช้กฎหมายที่ล้าสมัยและผิดยุคผิดสมัย” นายจารุพงศ์กล่าว
นายจารุพงศ์กล่าวต่อไปว่า องค์การเสรีไทยฯ
จึงเตรียมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นผู้ร่าง
เพื่อให้ทหารกลับมาเป็นของประชาชน นี่คือแนวทางต่อสู้ของ เสรีไทยฯ
จะไม่ใช้ความรุนแรงหรือไม่ใช้อาวุธใด ๆ แต่จะติดอาวุธให้กับคนไทย
เพราะอาวุธที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือสมอง นี่คือยุทธศาสตร์ขั้นยัน
“ผมต้องการให้สังคมไทยตาสว่าง และเอาไปคิดว่า
เรากำลังสู้เพื่ออะไร สู้อยู่กับใคร และสู้อย่างไร เป้าหมายสูงสุดก็คือ
การทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน นั่นหมายความว่า
คนไทยทุกคนจะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง
ถ้ายังไม่มีสำนึกแบบนี้ สู้อย่างไร ก็ไม่มีวันได้ชัยชนะ
และนี่คือสิ่งที่ผมออกมาจากประเทศไทยก็เพราะต้องการจะสู้เพื่อสิ่งนี้” นายจารุพงศ์กล่าว
เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ กล่าวต่อไปว่า
เมื่อเปลี่ยนความคิดของคนส่วนใหญ่ได้ ทำให้คนไทยตาสว่างมากขึ้นได้ 30-40
ล้านคน ในจำนวนนี้ต้องรวมถึง ทหาร ตำรวจ
และข้าราชการด้วยที่ไม่ต้องการอยู่กับระบอบเก่าอีกต่อไป
และสามารถคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ก็จะเข้าสู่ขั้นรุก ซึ่งเมื่อถึงขั้นนี้
การปฏิรูปประเทศก็จะง่ายขึ้น
นายจารุงพงศ์กล่าวว่า
ถามว่าจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ไม่มีใครตอบได้ แต่แน่นอนต้องใช้เวลานาน
อย่างการปฏิวัติฝรั่งเศสใช้เวลา 20-30 ปี และขอย้ำว่าองค์การเสรีไทยฯ
จะไม่ต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่จะสร้างเครือข่ายแนวร่วม เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ
การตั้งองค์กร แบบผู้เท่ากันถึงผู้เท่ากัน หรือ แบบเสรีชน
รูปแบบนี้จะอาศัยระบบการสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญ
“ผมย้ำว่าการตั้งองค์การของเสรีไทยฯ
จะไม่เป็นแบบปิรามิด หรือแบบยอดเจดีย์ ที่ ทุกอย่างสั่งมาจากส่วนบนสุด
แต่จะเป็นแบบร่างแห รังผึ้ง หรือค่ายกล ที่เชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีสื่อสารที่แข็งแรงที่สุด”
นายจารุพงศ์กล่าวและว่า ภาคีเครือข่ายของเสรีไทยฯ
แต่ละกลุ่มจะต้องหาทางช่วยตัวเอง หาการสนับสนุนทุก ๆ ด้านกันเองแต่
มีหลักการหรือเป้าหมายอันเดียวกัน.
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ศึกษารูปธรรมความขัดแย้งเชิงโครงสร้างก่อนผลัดแผ่นดินจากข่าว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เจอ 112
*โครงการศึกษาการเมืองเสรีไทย*
ศึกษารูปธรรมความขัดแย้งเชิงโครงสร้างก่อนผลัดแผ่นดินจากข่าวพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เจอ
112
_______________
เรามักจะเข้าใจง่ายๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงคือสองคนคู่ขัดแย้งต้องรบกันและเฝ้ารอดูจนอ่อนใจว่าทำไมไม่เกิดเสียทีจนนานเข้าก็เข้าใจผิดว่าคงคุยกันรู้เรื่องแล้วมั้ง?,ใช่ค่ะแต่ถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง,ถูกคือนั่นจะเป็นขั้นสุดท้ายที่แตกหักคือการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ,ไม่ถูกคือความขัดแย้งนี้ยากที่จะประนีประนอมเพราะมันมีพล.อ.เปรมและพรรคพวกเข้ามาเอี่ยวประโยชน์ทั้งอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจมหาศาลเป็นเดิมพันและหากจบง่ายเช่นนั้นมันจะไม่ยืดเยื้อตั้งแต่ล้มทักษิณเมื่อ2549จนถึงวันนี้หรอก,
ด้วยเหตุนี้คนธรรมดาทั่วไปมักจะมองไม่เห็นเพราะขาดทฤษฎีชี้นำและขาดข้อมูลที่เป็นจริงจึงขอให้เพื่อนๆผู้รักปชต.เปิดใจกว้างรับข้อมูล(ช่วยเปิดทางให้องค์การเสรีไทยฯรหัสIDคือsortwo112ส่งข้อมูลเข้าห้องไลน์ของเพื่อนๆเราด้วย)และอดทนที่จะเรียนรู้ก็จะเห็นชัดถึงถึงการพังทะลายของระบอบโบราณที่อยู่ได้จากการกดประชาชนให้ยากจนและงมงาย
กรณีย้ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ผบช.ก.(ญาติสตรีคนสำคัญ)กับพรรคพวกเรื่องทุจริตและตามด้วย112คือผลของความขัดแย้งเชิงโครงสร้างที่ใกล้การเปลี่ยนแปลงเต็มที,ความผิดอาจจะมีจริงแต่การเดินหมากก็แสดงออกด้วยว่าใครโง่ใครฉลาด?แต่แน่นอนที่สุดต้องจับตาดูเพราะว่าขี้ข้าระดับสูงเจอ112เข้าเองนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา,พระแสงดาบฆ่าทุกคนได้เป็นความโหดร้ายยิ่งแต่ผลแห่งความโหดเลือดของขี้ข้าจะต้องกระเด็นเปื้อนเจ้านายแน่นอน
ดารณี รวีโชติ
ผอ.กอท.เสรีไทย
22 พย.57
ครบ6เดือนคสช.นับถอยหลัง
ดูประกอบบทวิเคราะห์นสพ.ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE5qWTNNek0wTUE9PQ==&subcatid=
_______________
*อย่าลืมเรามีนัดพร้อมกันทุกวันที่24ของเดือน*
นับจากเที่ยงคืน23ถึงเที่ยงคืน24ของทุกเดือนเชิญเปลี่ยนโพลไฟล์เป็นภาพเสรีไทยตามความพร้อมของแต่ละท่านและใช้วันที่24ทั้งวันลุกขึ้นโจมตีระบอบเผด็จการคสช.ทางข่าวสารไม่ว่ามันจะเปลี่ยนตัวใครมาเป็นนายกฯก็ตาม/
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
10 ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี
10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี
นับตั้งแต่กษัตริย์ภูมิพลแสดงตัวอย่างเปิดเผยในการทำรัฐประหารเมื่อเมื่อปี2500โดยจับมือกับจอมพลสฤษธิ์ ธนะรัฐโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงครามซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายเชื้อสายของคณะราษฎรที่ภูมิพลเกลียดชังเพราะนอกจากจอมพลป.จะเป็นกำลังสำคัญของคณะราษฎรโค่นล้มอำนาจราชวงศ์จักรีในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน2475และจับเชื้อพระวงศ์เข้าคุกในการปราบกบฏพระองค์เจ้าบวรเดชรวมตลอดถึงประเด็นสำคัญที่ภูมิพลหวาดกลัวที่สุดคือรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงครามในขณะนั้นกำลังเตรียมการจะรื้อฟื้นคดีที่ภูมิพลเป็นผู้สังหารรัชกาลที่8ขึ้นพิจารณาเพราะรู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลกำลังจะเล่นไม่ซื่อกับคณะรัฐบาลของเขา(ความเคียดแค้นนี้แสดงออกชัดเจนคือทุกคนของคณะราษฎรที่ลี้ภัยไปต่างประเทศจะกลับแผ่นดินไทยได้เพียงกระดูกเท่านั้น) ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ภูมิพลจึงแสดงตัวชัดเจนในการการประกาศให้ประชาชนสนับสนุนการยึดอำนาจของจอมพลสฤษธิ์อย่างเปิดเผยเป็นเอกสารโดยไม่มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายและไม่ชอบด้วยประเพณีการปกครองที่ต้องการปกป้องไม่ให้กษัตริย์ต้องมีความผิดตามหลักปรัชญาที่ว่า "The King can do nowrong" และนับแต่นั้นหลักการของคณะราษฎรที่ให้ทหารเป็นของประชาชนก็เปลี่ยนเป็น"ทหารเป็นของพระราชา"และนับแต่นั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ใช้ทหารกระทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลต่างๆไม่หยุดหย่อนไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารที่ตนสนับสนุนเองก็ตามหากตนรู้สึกระแวงว่ารัฐบาลนั้นจะมีความมั่นคงซึ่งจะทำให้การเผด็จอำนาจของระบอบกษัตริย์เสื่อมคลายได้เช่นรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ, รัฐบาลพตท.ทักษิณ ชิณวัตรโดยเฉพาะรัฐบาลของพลเอกสุจินดา คราประยูรที่กษัตริย์ภูมิพลพึ่งลงนามอนุญาติให้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชายได้เพียงแต่เกิดความระแวงว่าพลเอกสุจินดาและนายทหารรุ่น5มีความสามัคคีเหนียวแน่นกำลังจะวางฐานอำนาจเข้มแข็งและเป็นเสี้ยนหนามของตนในอนาคตเป็นต้นโดยไม่สนใจวิธีการว่าการล้มนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองลงนามอนุญาติให้ไปนั้นจะเป็นไปตามครรลองแห่งกฎหมายหรือไม่รวมทั้งใช้วิธีการที่เลวร้ายด้วยการยุให้กลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันตามภาวะการธรรมชาติของสังคมก่อม็อบปะทะกันเพื่อให้เกิดจลาจลแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารซ้อนหรือเข้ามาเผด็จอำนาจด้วยตนเองเช่นยุให้ทหารรุ่น7ที่นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และพลเอกพัลลภ ปิ่นมณีที่ขัดแย้งกับทหารรุ่น5ที่นำโดยพลเอกสุจินดาจนกลายเป็นจลาจลในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี2535และเมื่อกลุ่มรุ่น7เพลี่ยงพล้ำกษัตริย์ภูมิพลก็แสดงตนเป็นพ่อพระลงมาห้ามทัพแล้วก็บีบให้พลเอกสุจินดาลาออกจากนายกฯแล้วก็แต่งตั้งคนของตนคือนายอานันท์ปันยารชุณขึ้นเป็นนายกฯตามอำเภอใจทั้งๆที่ในขณะนั้นมีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและพลตรีจำลองลูกสมุนของภูมิพลที่ก่อจลาจลโดยชูประเด็นการต่อสู้ว่า"ประชาชนต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง"จนผู้คนต้องล้มตายจากการต่อสู้เรียกร้องและนี้คือตัวอย่างหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอัปยศว่า"นายกฯพ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อ"เพราะรถที่อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้านายกฯเลยบ้านว่าที่นายกฯคือพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและมาจากการเลือกตั้งโดยรถเลยไปจอดที่บ้านนายอานันท์ทำให้นายอานันท์ได้เป็นนายกฯรอบที่สองและเป็นต้นแบบของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตยแต่ก็เป็นนายกฯได้สบายๆหากทำตัวเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ภูมิพล,จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ใครอยากจะได้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งโดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนถือเป็นความโง่
ลายเซนต์ของกษัตริย์ภูมิพลที่ลงนามในฐานะประมุขแห่งรัฐโดยหลักการมีความสำคัญอย่างยิ่งแต่ในความเป็นจริงมีความสำคัญน้อยกว่าอารมณ์ที่ผันแปรขึ้นๆลงๆของกษัตริย์ภูมิพลซึ่งกระทำตามอำเภอใจตั้งแต่ปี2500เป็นต้นมาเพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ถือปืนเองในนามว่า"ทหารเป็นของพระราชา"และในทางกฎหมายภูมิพลก็เป็นผู้เลือกและลงนามแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดเองเพียงแต่มีความฉลาดคือใช้เครือข่ายสั่งการผ่านองคมนตรีและบุคคลที่ตนแสดงให้สังคมเห็นว่าเป็นคนที่ไว้วางพระราชหฤทัยดังเช่นใช้ให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแสดงในการผ่านอำนาจเป็นต้นและหากผู้ใดฝ่าฝืนพระราชประสงค์ผู้นั้นก็จะได้รับอันตรายแม้จะเป็นนายกฯที่ประชาชนชื่นชมเช่นพตท.ทักษิณ ชินวัตร หรือผู้ที่กุมอาวุธมั่นคงในตำแหน่งทางการทหารเช่นพลเอกสุจินดาก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นต้น
การบริหารอำนาจภายใต้หลักการณ์ทหารเป็นของพระราชาทั้งที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนโดยมีการแสดงอำนาจที่ไร้หลักเกณฑ์แห่งกฎหมายให้เห็นอยู่เสมอด้วยเช่นสั่งให้ทหารทำการล้มรัฐบาลและทำให้หายตัวลึกลับของบางคนรวมตลอดถึงการสังหารบุคคลโดยทหารทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยกลางเมืองเช่นการสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล และการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายด้วยปืนสไนเปอร์ในเหตุการณ์"สังหารโหดราชประสงค์"ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือทหารแต่ผู้เกี่ยวข้องและผู้กระทำการชั่วช้าก็ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมายแต่ยังกลับได้ดีอีกด้วย,ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งความกลัวที่สื่อมวลชน,ปัญญาชนและประชาชนทั่วไปต่างเอาตัวรอดโดยเชื่อในปรัชญาร่วมกันว่า"รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี".....ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวจากการกระทำของกษัตริย์ไทยที่โกหกประชาชนมายาวนานว่า"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"
ทหารของพระราชาจึงกลายเป็นฐานอำนาจของระบอบราชาธิปไตยใหม่และกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่อท้ายด้วยคำว่า"อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ดังนั้นการสร้างประชาธิปไตยของไทยจึงจำเป็นต้องถอนอำนาจทหารออกจากพระราชาให้ทหารเป็นของประชาชนซึ่งตามวิถีทางปกติในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
__________________
ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี
นับตั้งแต่กษัตริย์ภูมิพลแสดงตัวอย่างเปิดเผยในการทำรัฐประหารเมื่อเมื่อปี2500โดยจับมือกับจอมพลสฤษธิ์ ธนะรัฐโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงครามซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายเชื้อสายของคณะราษฎรที่ภูมิพลเกลียดชังเพราะนอกจากจอมพลป.จะเป็นกำลังสำคัญของคณะราษฎรโค่นล้มอำนาจราชวงศ์จักรีในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ24มิถุนายน2475และจับเชื้อพระวงศ์เข้าคุกในการปราบกบฏพระองค์เจ้าบวรเดชรวมตลอดถึงประเด็นสำคัญที่ภูมิพลหวาดกลัวที่สุดคือรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงครามในขณะนั้นกำลังเตรียมการจะรื้อฟื้นคดีที่ภูมิพลเป็นผู้สังหารรัชกาลที่8ขึ้นพิจารณาเพราะรู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลกำลังจะเล่นไม่ซื่อกับคณะรัฐบาลของเขา(ความเคียดแค้นนี้แสดงออกชัดเจนคือทุกคนของคณะราษฎรที่ลี้ภัยไปต่างประเทศจะกลับแผ่นดินไทยได้เพียงกระดูกเท่านั้น) ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ภูมิพลจึงแสดงตัวชัดเจนในการการประกาศให้ประชาชนสนับสนุนการยึดอำนาจของจอมพลสฤษธิ์อย่างเปิดเผยเป็นเอกสารโดยไม่มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายและไม่ชอบด้วยประเพณีการปกครองที่ต้องการปกป้องไม่ให้กษัตริย์ต้องมีความผิดตามหลักปรัชญาที่ว่า "The King can do nowrong" และนับแต่นั้นหลักการของคณะราษฎรที่ให้ทหารเป็นของประชาชนก็เปลี่ยนเป็น"ทหารเป็นของพระราชา"และนับแต่นั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ใช้ทหารกระทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลต่างๆไม่หยุดหย่อนไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารที่ตนสนับสนุนเองก็ตามหากตนรู้สึกระแวงว่ารัฐบาลนั้นจะมีความมั่นคงซึ่งจะทำให้การเผด็จอำนาจของระบอบกษัตริย์เสื่อมคลายได้เช่นรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ, รัฐบาลพตท.ทักษิณ ชิณวัตรโดยเฉพาะรัฐบาลของพลเอกสุจินดา คราประยูรที่กษัตริย์ภูมิพลพึ่งลงนามอนุญาติให้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชายได้เพียงแต่เกิดความระแวงว่าพลเอกสุจินดาและนายทหารรุ่น5มีความสามัคคีเหนียวแน่นกำลังจะวางฐานอำนาจเข้มแข็งและเป็นเสี้ยนหนามของตนในอนาคตเป็นต้นโดยไม่สนใจวิธีการว่าการล้มนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองลงนามอนุญาติให้ไปนั้นจะเป็นไปตามครรลองแห่งกฎหมายหรือไม่รวมทั้งใช้วิธีการที่เลวร้ายด้วยการยุให้กลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันตามภาวะการธรรมชาติของสังคมก่อม็อบปะทะกันเพื่อให้เกิดจลาจลแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารซ้อนหรือเข้ามาเผด็จอำนาจด้วยตนเองเช่นยุให้ทหารรุ่น7ที่นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และพลเอกพัลลภ ปิ่นมณีที่ขัดแย้งกับทหารรุ่น5ที่นำโดยพลเอกสุจินดาจนกลายเป็นจลาจลในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี2535และเมื่อกลุ่มรุ่น7เพลี่ยงพล้ำกษัตริย์ภูมิพลก็แสดงตนเป็นพ่อพระลงมาห้ามทัพแล้วก็บีบให้พลเอกสุจินดาลาออกจากนายกฯแล้วก็แต่งตั้งคนของตนคือนายอานันท์ปันยารชุณขึ้นเป็นนายกฯตามอำเภอใจทั้งๆที่ในขณะนั้นมีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและพลตรีจำลองลูกสมุนของภูมิพลที่ก่อจลาจลโดยชูประเด็นการต่อสู้ว่า"ประชาชนต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง"จนผู้คนต้องล้มตายจากการต่อสู้เรียกร้องและนี้คือตัวอย่างหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอัปยศว่า"นายกฯพ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อ"เพราะรถที่อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้านายกฯเลยบ้านว่าที่นายกฯคือพลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและมาจากการเลือกตั้งโดยรถเลยไปจอดที่บ้านนายอานันท์ทำให้นายอานันท์ได้เป็นนายกฯรอบที่สองและเป็นต้นแบบของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตยแต่ก็เป็นนายกฯได้สบายๆหากทำตัวเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ภูมิพล,จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ใครอยากจะได้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งโดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนถือเป็นความโง่
ลายเซนต์ของกษัตริย์ภูมิพลที่ลงนามในฐานะประมุขแห่งรัฐโดยหลักการมีความสำคัญอย่างยิ่งแต่ในความเป็นจริงมีความสำคัญน้อยกว่าอารมณ์ที่ผันแปรขึ้นๆลงๆของกษัตริย์ภูมิพลซึ่งกระทำตามอำเภอใจตั้งแต่ปี2500เป็นต้นมาเพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ถือปืนเองในนามว่า"ทหารเป็นของพระราชา"และในทางกฎหมายภูมิพลก็เป็นผู้เลือกและลงนามแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดเองเพียงแต่มีความฉลาดคือใช้เครือข่ายสั่งการผ่านองคมนตรีและบุคคลที่ตนแสดงให้สังคมเห็นว่าเป็นคนที่ไว้วางพระราชหฤทัยดังเช่นใช้ให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแสดงในการผ่านอำนาจเป็นต้นและหากผู้ใดฝ่าฝืนพระราชประสงค์ผู้นั้นก็จะได้รับอันตรายแม้จะเป็นนายกฯที่ประชาชนชื่นชมเช่นพตท.ทักษิณ ชินวัตร หรือผู้ที่กุมอาวุธมั่นคงในตำแหน่งทางการทหารเช่นพลเอกสุจินดาก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นต้น
การบริหารอำนาจภายใต้หลักการณ์ทหารเป็นของพระราชาทั้งที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนโดยมีการแสดงอำนาจที่ไร้หลักเกณฑ์แห่งกฎหมายให้เห็นอยู่เสมอด้วยเช่นสั่งให้ทหารทำการล้มรัฐบาลและทำให้หายตัวลึกลับของบางคนรวมตลอดถึงการสังหารบุคคลโดยทหารทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยกลางเมืองเช่นการสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล และการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายด้วยปืนสไนเปอร์ในเหตุการณ์"สังหารโหดราชประสงค์"ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือทหารแต่ผู้เกี่ยวข้องและผู้กระทำการชั่วช้าก็ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมายแต่ยังกลับได้ดีอีกด้วย,ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งความกลัวที่สื่อมวลชน,ปัญญาชนและประชาชนทั่วไปต่างเอาตัวรอดโดยเชื่อในปรัชญาร่วมกันว่า"รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี".....ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวจากการกระทำของกษัตริย์ไทยที่โกหกประชาชนมายาวนานว่า"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"
ทหารของพระราชาจึงกลายเป็นฐานอำนาจของระบอบราชาธิปไตยใหม่และกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่อท้ายด้วยคำว่า"อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ดังนั้นการสร้างประชาธิปไตยของไทยจึงจำเป็นต้องถอนอำนาจทหารออกจากพระราชาให้ทหารเป็นของประชาชนซึ่งตามวิถีทางปกติในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
__________________
วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
จอห์น ลี มีเรื่องเล่า : กษัตริย์ที่ทรงครองตำแหน่งผู้ร่ำรวยอย่าง(ไม่)พอเพียง
ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กซึ่งเป็นสำนักข่าวใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเป็นรูปธรรมจับต้องยืนยันได้ว่าวิกฤติความยากจนของคนไทยและวิกฤติที่ไทยไม่อาจจะก้าวสู่การพัฒนาเป็นรัฐสมัยใหม่โดยเปิดการลงทุนอย่างเสรีเพื่อที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้เป็นเพราะการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการเอารัดเอาเปรียบสังคมของราชสำนักไทยโดยเลี้ยงทหารเหมือนสุนัขด้วยเศษเนื้อและเหรียญตราเพื่อคอยยึดอำนาจและจับกุมเข่นฆ่าประชาชน,เลี้ยงศาลและปัญญาชนหยิบมือเดียวเหมือนนกแก้วนกขุนทองด้วยเศษผลไม้ที่เหลือกินในวังเพื่อคอยโฆษณาสร้างความชอบธรรมให้วังโดยคอยใส่ร้ายระบอบประชาธิปไตย์
ขอได้คิดเถอะว่าหากเราเพียงแต่นำดอกผลของทรัพย์สินที่ใช้อยู่กินเพียงครอบครัวเดียวนี้มาจัดเป็นกองทุนรัฐสวัสดิการเลี้ยงดูผู้สูงอายุคนยากคนจนทั่วประเทศ(รวมถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายนายทหารชั้นผู้น้อยด้วย)ทุกคนก็จะมีความสุขกันทั่วหน้าโดยสามารถให้ได้มากกว่าเดือนละ600บาทโดยไม่ต้องรบกวนภาษีประชาชนเลย
ขอให้เพื่อนๆช่วยแชร์ให้กว้างเพื่อให้คนไทยตาสว่างคนยากจนจะได้ไม่ต้องฆ่ากันเพื่อปกป้องวังด้วยความเข้าใจผิด
จอห์น ลี(John Lee)
18 พย. 57
_______________
ในหลวงทรงครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1
ในประเทศไทยอย่างพอเพียง
รายงานโดยนายวิลเลียม เมลเลอร์ ( William
Mellor) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
*ในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1
ของประเทศและพบว่าการครองสิริราชย์สมบัติผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กว่า
5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวสองแสนล้านๆบาท
ซึ่งเรื่องนี้นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนใดๆในการทำรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดกว่า 30%
ในหุ้นเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
มีพนักงานในเครือกว่า 24,000 คน ผลิตสินค้านับตั้งแต่เคมีภัณฑ์
ไปยันวัสดุก่อสร้างสารพัด ส่วนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 3
ของไทย และในหลวงทรงถือหุ้นอยู่ 21% ส่วนเทเวศน์ประกันภัย
ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯถืออยู่ 87%
หากนับหุ้นที่ถือผ่านสำนักงานทรัพย์สินฯแล้ว ก็จะคิดเป็น 7.5%ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนซึ่งตกใจกลัวจากเหตุการณ์รัฐประหารก็กำลังเฝ้าจังหวะที่จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยอยู่
แต่ระหว่างนั้นก็จ้องจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่ในหลวงทรงถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย
เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระราชบัลลังก์มาอย่างมั่นคงกว่า 61 ปี
แล้ว ก็นับว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดของประเทศไทย
รวมทั้งเป็นประเทศเกษตรและอุตสาหกรรมที่มีความน่าเชื่อถือ
โดยเป็นทั้งประเทศที่ส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดของโลก
และเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน
ตามตัวเลขเดิมนั้น กษัตริย์มีที่นาที่ฉะเชิงเทรา
สุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี สระบุรี นครนายก อยุธยา ปทุมธานี ตามที่รัฐบาลเปิดเผย 53,683
ไร่ โดยแจกเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินแก่ราษฎร 43,143ไร่
ส่วนที่ดินในกรุงเทพฯนั้นกษัตริย์มีที่ดินอยู่เกือบครึ่งเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณศูนย์การค้า เช่น สยามสแควร์ ราชประสงค์ สุขุมวิท สีลม
สาธร ท่าพระจันทร์ สองข้างถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง หัวลำโพง ราชเทวี ประตูน้ำ สำเพ็ง
ราชวงศ์ เยาวราช สี่พระยา บางรัก
วงเวียนใหญ่ คลองเตย ฯลฯ
และที่สำคัญคือเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสนามม้าสองแห่งเนื้อที่หลายร้อยไร่
นับเป็นแหล่งการพนันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ
กษัตริย์จะได้ค่าเช่าจากสนามม้า ปีละมหาศาล และที่แน่ๆ ก็คือทรงสนับสนุนการแข่งม้า
มีการประทานถ้วยให้ม้าแข่งชนะเลิศ
นอกจากนี้ คนยากจนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ
ก็ยังอาศัยในที่ดินของ คนกรุงเทพฯอยู่ในสลัมถึง 8
แสนคน เกือบทั้งหมดต้องเช่าที่ดินอยู่
และกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินของทางราชการและสำนักงานทรัพย์สิน
กษัตริย์จึงเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
เป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่ที่ทำประโยชน์อย่างมหาศาล
และไม่มีใครกล้าแตะต้องยุ่งเกี่ยวด้วยโดยเฉพาะการเสนอกฎหมายจำกัดการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวทรงมีที่ดิน
32,500 ไร่
ในนั้นกว่า 7,500
ไร่ อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทย
โดยพื้นที่บางแห่งมีมูลค่าตารางวาละหลายแสนบาท
จากการประเมินของบริษัทซีพีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
พื้นที่บางส่วนถูกนำไปพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ซึ่งเป็นช็อปปิ้งมอลล์ใหญ่ที่สุดของประเทศ, สวนลุมไนต์บาร์ซ่า
พื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่ทรงไล่นักเรียนเตรียมทหารออกไปเรียนที่นครนายก,
พื้นที่ถนนราชดำเนินอันเต็มไปด้วยตึกสวยงามและสถานที่ตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ
และโรงแรมโฟร์ซีซั่น และโรงแรมดุสิตธานี
พระเจ้าอยู่หัวยังทรงถือหุ้น 87%
ในโรงแรม เคมเพน สกี้ Kem penski ซึ่งมีฐานมาจากมิวนิค
ประเทศเยอรมันนีด้วย ผ่านทางบริษัท CPB EQUITY ทั้งนี้รายงานในปี
2548 ระบุว่าเคมเพนสกี้ในไทยมีมูลค่ากว่า 716
ล้านเหรียญ (กว่า23,000 ล้านบาท)
คริส เบเกอร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนเรื่อง
" ประวัติศาสตร์ไทย ” ร่วมกับดร.สุก พงษ์ไพจิตร
ถึงกับกล่าวว่า“ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง
โดยชี้ว่า "สำนักงานทรัพย์สินฯคือองค์กรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ”
ในเรื่องงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรอุดหนุนสถาบันกษัตริย์นั้น
ทุกประเทศในยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้ว
เงินปีที่ประชาชนถวายให้ในฐานะประมุขของประเทศที่พัฒนาแล้ว มีค่าน้อยมาก
เมื่อเทียบกับเงินปีที่ประชาชนถวายให้กับสถาบันกษัตริย์
และสมาชิกราชวงศ์ของประเทศไทย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีคนจนมากมาย
อีกทั้งทุกพระองค์ได้รับอภิสิทธิ์ในการยกเว้นภาษีเงินได้
ในขณะที่สถาบันกษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ในประเทศพัฒนาแล้วต้องเสียภาษีเงินได้มากกว่า
40 เปอร์เซนต์
นอกจากนี้ประชาชนในประเทศไทยยังต้องถวายเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ
ของสมาชิกในราชวงศ์ เพื่อแสดงความจงรักภักดี อาทิ โครงการในพระราชดำริทุกโครงการ
ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบและประเมินผลได้
โครงการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจ และพระกรณียกิจของทุกพระองค์ เป็นต้น
อีกทั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีเงินได้
ข้อมูลจากนิตยสารเอลสิเวียร์ Elsevierซึ่งเป็นนิตยสารด้านการเงินของประเทศเนเธอร์แลนด์บอกว่า
ควีนเบียทริกซ์ มีเงินปีที่ได้รับการถวายในการดำรงตำแหน่ง 762000
ยูโรต่อปี หรือราวปีละ 40 ล้านบาทซึ่งต้องเสียภาษีมากกว่า 40
เปอร์เซนต์
แตกต่างจากงบประมาณที่ประชาชนในประเทศไทยถวายให้กับสำนักพระราชวังสำหรับสำหรับทุกพระองค์
ดังตัวเลขเงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สำนักพระราชวังดังนี้
งบประมาณของสำนักพระราชวัง
ปี 2545 -1,136,536,600
บาท
ปี 2546 -1,209,861,700
บาท
ปี 2547-1,275,948,400
บาท
ปี 2548 -1,501,472,900
บาท
ปี 2549 -1,676,888,800
บาท
ปี 2550 -1,945,122,400
บาท
แยกรายจ่ายเฉพาะปี 2550
เฉพาะที่น่าสนใจ
1. งบบุคลากร 835,701,700
บาท
1.1 เงินเดือนและค่าจ้างประจำ 833,201,700
บาท
1.2 ค่าจ้างชั่วคราว 2,500,000
บาท
2. งบดำเนินงาน 339,869,300
บาท
2.1 ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ156,432,500
บาท
(1) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 24
คัน4,635,200 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น23,176,000
บาท
(2) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 23
คัน5,110,700 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น25,553,500
บาท
3. งบลงทุน 9,162,200
บาท
3.1 ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง9,162,200
บาท
3.1.1 ค่าครุภัณฑ์5,979,700
บาท
4. งบเงินอุดหนุน 756,889,200
บาท
4.1 เงินอุดหนุนทั่วไป756,889,200
บาท
1. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ในพระราชฐานที่ประทับ 280,000,000
บาท
2. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานที่ประทับ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร 180,000,000
บาท
3. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระองค์ 65,625,000
บาท
4. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ 57,856,000
บาท
5. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานต่างจังหวัด
100,000, 000 บาท
6. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินเบี้ยหวัดข้าราชการฝ่ายใน
8,908, 200 บาท
7. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินพระราชกุศลตามพระราชอัธาศัย
9,000, 000 บาท
8. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 19,000, 000
บาท
9. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมากจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี 6,500,000 บาท
10. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระราชฐานและซ่อมเครื่องตกแต่ง
10,000,000 บาท
11. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพร้อมจัดหาซ่อม
ทำเครื่องใช้เครื่องตกแต่ง 15,000,000 บาท
12. เงินอุดหนุนโครงการบูรณาการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
5,000,000 บาท
ยังมีงบแยกเป็นของสำนักเลขาธิการพระราชวังอีก 400
กว่าล้านบาท
ประเทศไทยนอกจาก
จะมีราชวงศ์ที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในโลก
จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บโดยมีทรัพย์สินล่าสุดรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านล้านบาทแล้ว
ประชาชาวไทยยังมีภาระเลี้ยงดูราชวงศ์ที่แพงที่สุด มากกว่าราชวงศ์ในประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลายด้วย/
วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
หมอดูชี้ทางพระเทพขึ้น ร.10
พระเทพฯใช้ฤกษ์หมอดูพระสหายอักษรจุฬาก้าวขึ้นเป็นรัชกาลที่10,กำหนดเส้นทางตามรอยสมเด็จทวดนายทองด้วงจากอุทัยธานีบ้านเกิดสู่บางกอกขึ้นเป็นรัชกาลที่1,โดยสร้างวังริมแม่น้ำสะแกกรังบ้านเลขที่905ถ.ศรีอุทัย ต.อุทัยใหม่ อ.เมืองจ.อุทัยธานี,กำหนดวันทำบุญวันที10พย.57
*โปรดสังเกตุฤกษ์ผานาที
"905คือเลขรหัสประจำตัวพระเทพ,เริ่มต้นที่ลุ่มนำ้บ้านเกิดรัชกาลที่1,ชื่อถนนหมายถึงเป็นเกียรติ์เป็นศรีแห่งอรุณรุ่ง,ชื่อตำบลหมายถึงอรุณรุ่งวันใหม่,วันที่10คือรัชกาลที่10"
ชื่อถนนตำบลบ้านเลขที่ทั้งหมดถูกกำหนดขึ้นให้เสริมดวงชะตาการก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลใหม่
เมื่อพิจารณาประกอบอบกับการรัฐประหารและบุคคลที่ขึ้นเป็นประธานสภานิติบัญญัติและสภาปฏิรูปทั้งหมดที่มาจากคนใกล้ชิดพระเทพและการนำเสนอร่างรธน.ที่ให้สถาบันรัฐสภาและรัฐบาลจากการเลือกตั้งอ่อนแอไม่มีอำนาจแต่ให้อยู่ใต้อำนาจองคมนตรีที่เปลี่ยนชื่อเป็นคณะอภิรัฐมนตรีโดยมีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องบนแล้วก็ชัดเจนว่าพระเทพเกี่ยวข้องกับการรัฐประหารครั้งนี้แน่นอน,เนียนจริงๆ
จอห์น ลี
วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
จดหมายเปิดผนึกของนายประเทือง เกียรติราชเสนอต่อประชาชนเกี่ยวกับพระอาการของในหลวง
14พฤศจิกายน2557
เรื่องขอให้ตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อยุติข่าวลืออันไม่เป็นมงคล
ข้าพเจ้าได้ติดตามพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความห่วงใยในพระอาการและพระราชกรณียกิจที่พระองค์มีต่อบ้านเมืองมาโดยตลอดเช่นเดียวกับพสกนิกรทั่วไปและเห็นว่าการปกปิดพระอาการประชวรที่เป็นจริงที่คณะองคมนตรีกระทำอยู่ขณะนี้ไม่เพียงแต่เป็นการมิบังควรแต่ยังเป็นการสร้างความสงสัยเคลือบแคลงใจในวัตถุประสงค์ของคณะองคมนตรีที่นำไปสู่ข่าวลือเกี่ยวกับความแตกแยกในพระบรมมหาราชวังเรื่องการสืบราชสมบัติระหว่างสมเด็จพระบรมฯและสมเด็จพระเทพฯที่ประธานองคมนตรีพลเอกเปรมกำลังกระทำการฝ่าฝืนราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาลที่เกิดขึ้นแพร่ไปทั้งแผ่นดินกลายเป็นเรื่องน่าเชื่อมากยิ่งขึ้นและยิ่งรุนแรงขึ้นซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองเลย
การเสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราชครั้งล่าสุดเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 3ตุลาคม นั้นไม่ใช่เป็นการตรวจพระอาการปกติตามที่คณะแพทย์แถลงแต่เกิดจากพระอาการพระทัยหยุดฉับพลัน(ช็อค) และไม่รู้พระวรกายแล้วในขณะนั้นส่วนการอักเสบของอวัยวะส่วนต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายอย่างกระทันหันทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการผ่าตัดอย่างฉุกเฉินหลายครั้งตามแถลงการฉบับที่1ถึงฉบับที่9ทั้งๆที่พึ่งเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชนั้นหากเป็นภาวะปกติก็แสดงว่าคณะแพทย์ถวายการตรวจมีความพกพร่องอย่างยิ่งซึ่งแท้จริงควรจะแถลงให้พสกนิกรทราบว่าเป็นภาวะความผิดปกติของพระวรกายอันเป็นผลจากการเจริญพระชนมายุของพระองค์และเป็นผลโดยตรงจากพระทัยหยุดฉับพลันและขณะนี้ไม่อาจจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นปกติได้แล้วเนื่องจากไม่อาจจะกำหนดเวลาได้ว่าพระองค์จะทรงรู้พระวรกายในช่วงเวลาใดแต่ปรากฏว่าแทนที่คณะองคมนตรีและคณะแพทย์ที่ถวายการรักษาควรจะให้พระองค์ท่านประทับผักผ่อนพระวรกายก็กลับกระทำการอันไม่บังควรโดยนำพระองค์เสด็จลงมาในวันลอยกระทงโดยเปิดเผยพระวรกายในภาวะการประชวรที่ต้องมีพระภูษาปกปิดพระวรกายส่วนล่างต่อสาธารณะชนโดยมิได้มีการถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ์จากคณะองคมนตรีและฝ่ายบริหารด้วยนั้นก็เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่งซึ่งความเป็นจริงเป็นเพราะผู้ใกล้ชิดพระองค์กระทำการอย่างไม่มีหมายกำหนดการและเร่งกระทำการในขณะที่พระองค์ทรงรู้พระวรกายในระยะสั้นๆเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งของคนบางคนอันไม่บังควรอย่างยิ่งซึ่งมีการกล่าวตำหนิกันในพระบรมมหาราชวังในหมู่ข้าราชบริพารด้วยความห่วงใยในพระพลานามัยของพระองค์และล่าสุดเมื่อวันที่11พฤศจิกายนข่าวภายในราชสำนักก็รับทราบว่านายแพทย์ผู้ถวายการรักษาท่านหนึ่ง(ขอปกปิดนาม)ก็ได้เข้าพบองคมนตรีชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพื่อบอกความจริงของพระอาการก่อนที่จะมีแถลงการฉบับที่9ที่ยืนยันเป็นทางการว่าพระปรอท(คืออาการไข้)สูงๆต่ำๆและหายพระทัยเร็วช้าไม่เป็นปกติแต่ในตอนท้ายแถลงการณ์ก็กลับสรุปว่าพระอาการดีขึ้นอยู่เรื่อยๆ
เพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีเพื่อให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญก่อนที่พระองค์จะเสด็จผ่านภิภพขอพสกนิกรทั้งหลายร่วมเรียกร้องให้คณะองคมนตรีประชุมเพื่อตั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชซึ่งเป็นองค์รัชทายาทที่จะทรงสืบราชสมบัติตามกฎมณเฑียรบาลขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและลบล้างข้อครหานินทาที่พสกนิกรมีต่อพลเอกเปรมและคณะองคมนตรีที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดินเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติและนำความร่มเย็นกลับคืนสู่แผ่นดินไทยต่อไปโดยทันที
ขอพระองค์ทรงพระเจริญด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ
นายประเทือง เกียรติราช
เรื่องขอให้ตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อยุติข่าวลืออันไม่เป็นมงคล
ข้าพเจ้าได้ติดตามพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความห่วงใยในพระอาการและพระราชกรณียกิจที่พระองค์มีต่อบ้านเมืองมาโดยตลอดเช่นเดียวกับพสกนิกรทั่วไปและเห็นว่าการปกปิดพระอาการประชวรที่เป็นจริงที่คณะองคมนตรีกระทำอยู่ขณะนี้ไม่เพียงแต่เป็นการมิบังควรแต่ยังเป็นการสร้างความสงสัยเคลือบแคลงใจในวัตถุประสงค์ของคณะองคมนตรีที่นำไปสู่ข่าวลือเกี่ยวกับความแตกแยกในพระบรมมหาราชวังเรื่องการสืบราชสมบัติระหว่างสมเด็จพระบรมฯและสมเด็จพระเทพฯที่ประธานองคมนตรีพลเอกเปรมกำลังกระทำการฝ่าฝืนราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาลที่เกิดขึ้นแพร่ไปทั้งแผ่นดินกลายเป็นเรื่องน่าเชื่อมากยิ่งขึ้นและยิ่งรุนแรงขึ้นซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองเลย
การเสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราชครั้งล่าสุดเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 3ตุลาคม นั้นไม่ใช่เป็นการตรวจพระอาการปกติตามที่คณะแพทย์แถลงแต่เกิดจากพระอาการพระทัยหยุดฉับพลัน(ช็อค) และไม่รู้พระวรกายแล้วในขณะนั้นส่วนการอักเสบของอวัยวะส่วนต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายอย่างกระทันหันทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการผ่าตัดอย่างฉุกเฉินหลายครั้งตามแถลงการฉบับที่1ถึงฉบับที่9ทั้งๆที่พึ่งเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชนั้นหากเป็นภาวะปกติก็แสดงว่าคณะแพทย์ถวายการตรวจมีความพกพร่องอย่างยิ่งซึ่งแท้จริงควรจะแถลงให้พสกนิกรทราบว่าเป็นภาวะความผิดปกติของพระวรกายอันเป็นผลจากการเจริญพระชนมายุของพระองค์และเป็นผลโดยตรงจากพระทัยหยุดฉับพลันและขณะนี้ไม่อาจจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นปกติได้แล้วเนื่องจากไม่อาจจะกำหนดเวลาได้ว่าพระองค์จะทรงรู้พระวรกายในช่วงเวลาใดแต่ปรากฏว่าแทนที่คณะองคมนตรีและคณะแพทย์ที่ถวายการรักษาควรจะให้พระองค์ท่านประทับผักผ่อนพระวรกายก็กลับกระทำการอันไม่บังควรโดยนำพระองค์เสด็จลงมาในวันลอยกระทงโดยเปิดเผยพระวรกายในภาวะการประชวรที่ต้องมีพระภูษาปกปิดพระวรกายส่วนล่างต่อสาธารณะชนโดยมิได้มีการถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ์จากคณะองคมนตรีและฝ่ายบริหารด้วยนั้นก็เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่งซึ่งความเป็นจริงเป็นเพราะผู้ใกล้ชิดพระองค์กระทำการอย่างไม่มีหมายกำหนดการและเร่งกระทำการในขณะที่พระองค์ทรงรู้พระวรกายในระยะสั้นๆเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งของคนบางคนอันไม่บังควรอย่างยิ่งซึ่งมีการกล่าวตำหนิกันในพระบรมมหาราชวังในหมู่ข้าราชบริพารด้วยความห่วงใยในพระพลานามัยของพระองค์และล่าสุดเมื่อวันที่11พฤศจิกายนข่าวภายในราชสำนักก็รับทราบว่านายแพทย์ผู้ถวายการรักษาท่านหนึ่ง(ขอปกปิดนาม)ก็ได้เข้าพบองคมนตรีชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพื่อบอกความจริงของพระอาการก่อนที่จะมีแถลงการฉบับที่9ที่ยืนยันเป็นทางการว่าพระปรอท(คืออาการไข้)สูงๆต่ำๆและหายพระทัยเร็วช้าไม่เป็นปกติแต่ในตอนท้ายแถลงการณ์ก็กลับสรุปว่าพระอาการดีขึ้นอยู่เรื่อยๆ
เพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีเพื่อให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญก่อนที่พระองค์จะเสด็จผ่านภิภพขอพสกนิกรทั้งหลายร่วมเรียกร้องให้คณะองคมนตรีประชุมเพื่อตั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชซึ่งเป็นองค์รัชทายาทที่จะทรงสืบราชสมบัติตามกฎมณเฑียรบาลขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและลบล้างข้อครหานินทาที่พสกนิกรมีต่อพลเอกเปรมและคณะองคมนตรีที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดินเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติและนำความร่มเย็นกลับคืนสู่แผ่นดินไทยต่อไปโดยทันที
ขอพระองค์ทรงพระเจริญด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ
นายประเทือง เกียรติราช
แปลกแต่จริง นักข่าวฝรั่งถูกสั่งห้ามเข้าประเทศเพราะเปิดเผยหลักฐานว่าสั่งฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์
•แปลกแต่จริง•
"ก็ใหนว่าเป็นคนดีแต่ทำไมมีคนวิจารณ์กันทั่วโลก"
*ล่าสุดอีกรายเป็นนักข่าวฝรั่งถูกสั่งห้ามเข้าประเทศทั้งหนังสือและคนเขียนเพราะเปิดเผยหลักฐานว่าสั่งฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์"
"ก็ใหนว่าเป็นคนดีแต่ทำไมมีคนวิจารณ์กันทั่วโลก"
*ล่าสุดอีกรายเป็นนักข่าวฝรั่งถูกสั่งห้ามเข้าประเทศทั้งหนังสือและคนเขียนเพราะเปิดเผยหลักฐานว่าสั่งฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์"
•เกณฑ์ให้ทุกคนต้องรัก• คสช.เลียนแบบเกาหลีเหนือ
คสช.เลียนแบบเกาหลีเหนือทุกหน่วยงานต้องเกณฑ์ข้าราชการใส่เสื้อเหลืองแสดงความจงรักภักดีกษัตริย์ไทยในเดือนธันวาคมทั้งแจกทั้งแถม(หลักฐานอีกชิ้นหลุดจากมหาลัยมหิดล)
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ข่าวลับกรองแล้ว 10 พย. 57
สืบความลับจับมาตีแผ่เผยแพร่เป็นประจำในขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนียเวียโดยกลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.)
http://thaiscandemo.blogspot.com/
- วันนี้ใครจะเถียงว่ากษัตริย์ภูมิพลยังแข็งแรงก็ขอให้ตะแคงหูรับรู้ไว้ด้วยว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้"นั่งรถ"มาศิริราชเพราะครั้งหน้าท่าจะต้อง "นอนรถ" มาเท่านั้น
- ข้อความข้างต้นนี้ถูกตีพิมพ์ในข่าวลับกรองแล้วเมื่อ 29กันยายน ที่ผ่านมาเป็นจริงดั่งว่าเหมือนตาเห็นเมื่อ 3ตุลา กลางดึกรถขบวนก็พา "นอนรถ" มาศิริราชจริงๆ555หลอกกันบ่อได้ดอกป๋าเปรมขา....หนูจะแถลงข่าวยิงตรงจากดาวอังคารเรื่องลุงสมชายต่อนะจ๊ะ
- ภาพข่าวลุงนั่งรถเข็นมาโชว์ตัววันลอยกระทงอย่าพึ่งดีใจว่าแข็งแรงแท้จริงเพราะมีข่าวลือว่า..ตายแน่..ตายแน่..ลั่นเมืองลูกสาวและองค์เปรม (คำเรียกใราชสำนัก) จึงต้องเข็นลุงออกมาโชว์เพื่อสยบสถานการณ์ข่าวลือที่ลือแรงจากป๋าสุรชัยแซ่ด่านและรายการ "เถียงแทนเจ้า" ของดีเจซุนโฮที่ทั้งโวทั้งฮาผ่านสื่อออนไลน์เอาจริงๆจังๆที่ชาวบ้านรับได้ทั่วไปในประเทศไทย...ทำงานได้ผลจนลุงสมชายต้องถ่อกายออกมาโดนลม555
- น่าสงสารลุงสมชายวันนี้สมองไม่ทำงานแล้วแต่ต้องถูกเข็นออกมาให้ "ทำงาม(หน้า)" ก็เพราะป้าเทพถ่างและบ่างองค์เปรมยังไม่พร้อมเผด็จศึกแต่ลุงสมชายขุนศึกก็คึกไม่ไหวแล้ว...ภาวะเช่นนี้ขี้ข้าในวังเซ็งสุดๆๆๆ (กรุณาดูรูปหน้านสพ.จะเห็นหน้าหมอทีเข็นรถเป็นสำคัญว่าดันปั้นหน้าเครียดเพราะอะไร?) ...ส่วนขี่ข้านอกวังยังไม่รู้เรื่องของร้อนก็เชียร์กันไปตามข่าวแจกจากวังที่ลงหน้าหนังสือพิมพ์..สวัสดีความเศร้า
- ข่าวเจาะลึกวงในรายงานว่า "ปลายังไม่เน่าแต่เหงือกขยับผงาบๆพร้อมมีเสียงรอดออกมาแหบๆว่าไม่ไหวแล้ว..ไม่ไหวแล้ว" แต่ลูกสาวก็คอยเชียร์ให้กำลังใจสู้สู้แต่ในใจก็รู้ว่าไปได้อีกไม่กี่น้ำ..กองเชียร์ไม่เคยป่วยใกล้ตายก็ไม่รู้ว่ามันทรมานขนาดใหน..ภาวะที่เสลดในคอก็มากถ่มขากออกเองก็ไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อคอหลอดลมข้างในไม่ทำงานต้องใช้เครื่องดูดออก..ไข้ก็ขึ้นสูงอยู่เรื่อยหมอต้องควบคุมใกล้ชิด..วันๆนอนหลับๆตื่นๆไม่รู้สึกตัวจะพอรู้สึกตัวบ้างวันหนึี่งไม่เกิน 2-3ชั่วโมงเมื่อนับรวมเวลากัน..มีการทดสอบความจำด้วยคำถามชื่อหมาตัวแรกที่เลี้ยงชื่อเมืองแรกที่เคยไปเที่ยวก็ตอบได้ผิดๆถูกๆ..ผู้ใหญ่ในวังนักกฎหมายใหญ่อักษรย่อ "อ" ออกปากว่าถ้าเป็นมหาเศรษฐีสามัญชนคนทั่วไปที่อยู่ในสภาพนี้ทางกฎหมายทายาทต้องร้องศาลขอตั้งผู้อนุบาลแล้วเพราะไม่อาจจะทำนิติกรรมได้ยิ่งปล่อยไว้ก็จะยิ่งถูกหลอกทำนิติกรรมเอาทรัพย์สินไปหมด..ลงพระนามสารพันวันนี้ก็ต้องใช้วิธี "ทอดพระบาท" คือกฎหมายทั้งหลายการแต่งตั้งทั้งหลายจะนำไปถวายไว้ที่ตีนตอนเย็นพอรุ่งเช้าเจ้าหน้าที่ก็มารับไปตีตราลายเซนต์เป็นเสร็จพิธีเอาไปประกาศใช้ได้..นี่แหละประเทศตายแลนด์
- ไปหาอ่าน สปท. ข่าวลับกรองแล้ว 29กันยา ที่ผ่านมาก็จะเห็นของจริงเคยบอกแล้วว่าหมอเสียบสายยางให้อาหารถาวรและท่อถ่ายจากช่องท้องเพราะเสวยทางปากไม่ได้นานแล้วต้องเสวยทางท้องเลยดูรูปล่าสุดก็จะเห็นใส่เสื้อลายปล่อยชายมายาวคุมสารพัดท่อและสารพัดถุงข้างเอวและยังต้องใช้ผ้าทึบคลุมหน้าตักมิดชิดลงมาถึงน่องเพื่อไม่ให้เห็นเครื่องช่วยถ่ายของเสีย...เทพถ่างบ่างองค์เปรมจะทรมานกันไปถึงใหนหนอ???
- เรื่องยังไม่จบง่ายเพราะวังแบ่งเป็น 2ค่าย เตรียมจะทำลายกันแต่ดันมีนักวิเคราะห์พันธุ์ก้านสมองสั้นเชื่อข่าวปล่อยจากวังว่า "พี่น้องเขาดีกันแล้ว...เขาแบ่งทรัพย์สินกันเรียบร้อยแล้ว" สปท.ขอแทงแหย่ให้คันกันสักนิดว่าถ้ามันง่ายอย่างนั้นทำไมบ้านเมืองถึงวุ่นวายยาวนานถึงวันนี้เล่าจ๊ะ???...ข่าวล่าสุดก่อนวันลอยกระทงเสี่ยโอของพสกนิกรยังย่องนั่งรถขบวนเข้าไปดูพระอาการเลยว่าเป็นอย่างไร?...จะเอากันหรือยัง?...ให้มันชัดๆให้มันแน่ๆ...อย่าดูถูกความสามารถของเสี่ยของเกล้ากระหม่อมนะจะบอกให้...จบ/...........แล้วพบกันใหม่
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
10 ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ตาสว่าง1.
10
ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น
ลี
ตาสว่าง1.
รัชกาลที่9 ฆ่าพี่ชายคือจุดเริ่มต้นระบอบราชาธิปไตยใหม่
ราชวงศ์จักรีเป็นราชวงศ์บาปที่ต้นตระกูลคือนายทองด้วงสมคบกับขุนนางใหญ่ทำรัฐประหารจับพระเจ้าตากสินซึ่งมีพระคุณต่อแผ่นดินฆ่าหมดโคตรบาปกรรมจึงตกกับแผ่นดินจนถึงเช้าวันที่ 9มิถุนายน
2489 วงจรอุบาทว์ก็หวนกลับมาที่เจ้าฟ้าภูมิพลฆ่ารัชกาลที่8เจ้าฟ้าอานันทมหิดลพี่ชาย,จากสถานการณ์นี้ฝ่ายราชสำนักจึงฉวยโอกาสจากความใจอ่อนของคณะราษฎรโดยเฉพาะนายปรีดี
พนมยงค์และการวางแผนร่วมของนางสังวาลย์สมเด็จย่าร่วมกันปิดคดีแต่งตั้งเจ้าฟ้าภูมิพลขึ้นเป็นรัชกาลที่9 แล้วหลังจากนั้นราชสำนักก็จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เชื้อพระวงศ์ร่วมกันก่อตั้งทำการตลบหลังป้ายสีว่านายปรีดีเป็นผู้วางแผนลอบปลงพระชนม์แล้วประหารชีวิต
3ข้าราชบริภารที่เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดร.8 คือ
นายชิต,นายบุศและ
นายเฉลียว, แต่จนถึงวันนี้หลักฐานจากคำพิพากษาและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ยืนยันแล้วว่า
3ข้าราชบริภารนี้เป็นแพะและปรีดีก็บริสุทธิ์
ความจริงเรื่องการตายของ
ร.8 จึงชัดเจนด้วยหลักฐานและเหตุการณ์ทางการเมืองกว่า
60ปี ว่า ร.9
เป็นคนฆ่า
ร.8,
การปิดบังอำพรางเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้มีวิธีการที่เลวร้ายและทำอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยคือห้ามพูดห้ามวิจารณ์ห้ามศึกษาวิจัยค้นหาใดๆในเหตุการณ์นี้แม้แต่ในสถาบันการศึกษาทุกแห่งทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกโดยใช้กฎหมายมาตรา112 ลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรงและอย่างเหวี่ยงแหรวมทั้งห้ามไม่ให้มีการบันทึกเหตุการณ์การสวรรคตของรัชกาลที่8 ในทุกแห่งแม้แต่ในหนังสือเรียนของกระทรวงศึกษาของไทย,
เรื่องนี้จึงกลายเป็นความดำมืดและเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่กษัตริย์ภูมิพลเพื่อปิดบังอาชญากรรมที่ตนเองก่อขึ้นและหวาดระแวงตลอดเวลาว่าความจริงจะเปิดเผยดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างเกราะคุ้มกันด้วยการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ที่ตัวเองด้วยวิธีการที่เลวร้ายโดยใช้วิธีแบ่งแยกแล้วทำลายอำนาจฝ่ายตรงข้ามทีละส่วนไม่ให้ใครขึ้นมามีอำนาจได้ยาวนานรวมถึงการทำลายระบอบประชาธิปไตยไม่ให้ตั้งมั่นที่จะสร้างผู้นำที่เข้มแข็งได้และนี้คือจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ที่หยั่งรากลึกยาวนานกว่า
60ปี ที่สร้างผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศแผ่นดินต้องทุกข์ระทมผู้คนยากจนตราบจนใกล้สิ้นรัชกาลปัญหายิ่งเน่าเฟะ,
ด้วยเหตุนี้รัฐไทยตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงเป็นช่วงที่มีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญมากที่สุดโดยพระองค์ท่านได้เข้าร่วมดำเนินการเองทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมทั้งเชิดตัวแทนขึ้นปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่าจะมั่นคงก็จะสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหารแล้วแบ่งเศษอำนาจให้ขุนศึกและเมื่อเกิดการระแวงสงสัยก็จะทำลายอย่างเลือดเย็น,หลักฐานชัดเจนคือทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหารจะมีคนใกล้ชิดกษัตริย์ภูมิพลขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี, ที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่การรัฐประหาร
ปี2500 เป็นต้นมาเช่นนายพจน์
สารสิน (สายสกุลสารสินของนายพจน์เช่นอาสา สารสิน,นายพงศ์
สารสินเป็นต้นก็ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ร่วมกับวังไม่สุดสิ้นอยู่จนถึงวันนี้),
นายธานินท์
กรัยวิเชียร(องคมนตรี), พลเอกเปรม
ตินสูลานนท์(องคมนตรี),
นายอานันท์ ปันยารชุน,
พลเอกสุรยุทธ
จุลานนท์(องคมนตรี)รวมถึงการปูนบำเหน็จให้แก่แกนนำผู้ยึดอำนาจเป็นององคมนตรีเช่นการรัฐประหาร
19
กันยายน 2549 ก็ดึงเอาพลอากาศเอกชลิต
พุกผาสุข
ผู้บัญชาการทหารอากาศขึ้นเป็นองคมนตรีโดยไม่อายฟ้าดินและล่าสุดพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา ก็เป็นทหารคนสนิทของวัง(ทั้งแม่และเมียก็รับใช้อยู่ในวัง)
แต่หากนายกฯ
คนใดแสดงให้เห็นว่าจะมีอำนาจทางการเมืองมั่นคงแม้จะเป็นคนสนิทของพระองค์ก็จะถูกทำลายด้วยรูปการต่างๆ
รวมถึงวิธีการที่ไม่น่าเชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลที่ประกาศเชิดชูคุณธรรมด้วยถ้อยคำว่า
"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม"
จะกล้าทำนั่นคือสนับสนุนให้สายงานอำนาจของตนก่อจลาจลในบ้านเมืองเพื่อใช้เป็นข้ออ้างล้มนายกฯ
และตั้งตัวแทนของตนขึ้นเป็นนายกฯเองเช่นการล้ม
จอมพลป.
พิบูลย์สงคราม
ด้วยการก่อจลาจลว่าเลือกตั้งไม่เป็นธรรมก็ให้นายพจน์
สารสินขึ้นเป็นนายกฯก่อนจะเปิดทางให้ จอมพลสฤษธิ์, จอมพลถนอม
กิติขจร ถูกโค่นล้มด้วยเหตุการณ์จลาจล 14
ตุลา
2516
ก็ให้องคมนตรีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นเป็นนายกฯ, เสนีย์
ปราโมช กษัตริย์ภูมิพลลงมือปลุกลูกเสือชาวบ้านด้วยตัวเองให้ฆ่านักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายกลางสนามหลวงด้วยการใส่ร้ายว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์
6
ตุลา 2519 แล้วล้มรัฐบาลให้องคมนตรีนายธานินท์
กรัยวิเชียรขึ้นเป็นนายกฯ, พลเอกเกรียงศักดิ์
ชมะนันท์ ถูกโค่นล้มจากการก่อม็อบกรณีรถเมล์ขึ้นราคาก็ให้พลเอกเปรม
ขึ้นเป็นนายกฯ, พลเอกสุจินดา
คราประยูรถูกโค่นล้มจากกรณีก่อการจลาจลของพลตรีจำลองด้วยข้ออ้างว่าไม่มาจากการเลือกตั้ง(แต่แท้จริงทหารรุ่น5 เป็นเอกภาพมากกลัวจะแผ่อำนาจนาน)
ก็ให้นายอานันท์เป็นนายกฯ, ทักษิณ
ถูกโค่นล้มก็ให้องคมนตรีพลเอกสุรยุทธขึ้นเป็นนายกฯ, ก่อจลาจลยึดทำเนียบและสนามบินของกลุ่มพันธมิตรที่ใช้สัญลักษณ์พระนามย่อ
‘ภปร.’ ล้มรัฐบาลนายสมัคร
สุนทรเวช(อดีตคนเคยรักแต่เกลียดเพราะไปใกล้ทักษิณโดยไม่อาจดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรที่กระทำผิดได้จนทุกวันนี้)
แล้วให้นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะขึ้นเป็นนายกฯและปกป้องอำนาจให้นายอภิสิทธิ์โดยสั่งการให้ทหารสังหารประชาชนผู้ร้องขอให้ยุบสภาอย่างเหี้ยมโหดที่ราชประสงค์ในเดือนพฤษภาคม2553 (ก็ไม่อาจจะดำเนินคดีกับหุ่นเชิดนายอภิสิทธิ์-สุเทพได้อีกเช่นเดียวกับการสังหารประชาชนในอดีต),
แต่รายล่าสุดทำรัฐประหารล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แล้วให้พลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา
คนสนิทขึ้นเป็นนายกฯยังไม่รู้จุดจบเพราะพระองค์หมดสภาพใกล้สิ้นพระชนม์และทิ้งปัญหาวิกฤติการแต่งตั้งรัชกาลที่10 ไว้อันเป็นบาปกรรมที่หวงแหนอำนาจไว้จนลมหายใจสุดท้ายเช่นทุกรัชกาล
ด้วยเหตุนี้ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวภายใต้
"ระบอบราชาธิปไตยใหม่"
ที่กษัตริย์จะเชิดตัวแทนขึ้นบริหารแต่ไม่ให้มีอำนาจจริง,
โดยอำนาจจริงอยู่ในมือกษัตริย์ภูมิพลโดยการกุมกองทัพ, ศาลและสื่อมวลชนเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวงเรื่องคุณธรรมจอมปลอม,
ตลอดรัชสมัยของพระองค์จึงตกอยู่ในวงจรอุบาทมีการรัฐประหารมากที่สุด, มีความสงบสุขเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น, ไม่ว่าใครจะขึ้นมาปกครองก็ไม่มีอำนาจจริงจึงเป็นที่มาของระบอบพิการคือ
"คนมีอำนาจไม่บริหารและคนบริหารก็ไม่มีอำนาจ"
และนี้คือระบอบราชาธิปไตยใหม่
โดยกลไกทางธรรมชาติและผลกรรมที่กษัตริย์ภูมิพลก่อไว้กำลังทำลายตัวเอง,ขอเพียงแต่พี่น้องประชาชนศึกษาเพื่อให้เกิดตาสว่างร่วมกันแล้วจงหาวิธีการกำจัดระบอบที่เลวร้ายเพื่อสร้างรัฐใหม่ที่มั่นคงเพื่อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง/
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
จอห์นลีชี้ความจริง"ฟันธง": การปฏิรูปคือภาพลวงตา,ตั้งพระราชาคือของจริง
การปฏิรูปและร่างรัฐธรรมนูญเป็นเพียงละครซื้อเวลาขณะที่รอจังหวะเพื่อจัดตั้งรัชกาลที่10ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งสส.แน่นอน,ส่วนแนวการปฏิรูปนั้นพวกสมุนรับใช้โดยเฉพาะประธานสภาทั้งสอง"จุฬาคอนเนคชั่น"ก็จะทำเพื่อเสริมอำนาจรัชกาลใหม่ให้เข้มแข็งซึ่งกลุ่มองคมนตรีเก่ากำลังวาดฟันว่าจะเชิดผู้หญิงขึ้นเพื่อพวกมันและพรรคปชป.ของพลเอกเปรมจะได้เสวยอำนาจและผลประโยชน์มหาศาลในส่วนที่เป็นภาษีและทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีทั่วประเทศกันต่อไป,ส่วนประชาชนก็จนต่อไปตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
นักการเมืองและแกนนำนปช.อย่าฝันหวานเลยว่าจะมีประชาธิปไตยและเลือกตั้ง...ขอฟันธง
"หักตั้งพระราชาก่อนเลือกตั้งสภาผู้แทนแน่นอน"
JOHN LEE
2 November 2014
_______________
*ช่วยแชร์ต่อสัจจะพยากรณ์ปลายรัชกาลเมื่อเข้าใจร่วมกันจะผ่านความเลวร้ายโดยเร็ว
วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
หนังดีที่ทุกคนต้องดูเกี่ยวกับการพังทลายของระบอบกษัตริย์ยักษ์ใหญ่มหาอำนาจโลก
หนังดีที่ทุกคนต้องดูเกี่ยวกับการพังทลายของระบอบกษัตริย์ยักษ์ใหญ่มหาอำนาจโลก
รัสปูติน (Rasputin) อลัชชีโค่นบัลลังก์
รัสปูติน (Rasputin) อลัชชีโค่นบัลลังก์
ซูสีไทเฮา Empress Dowager Cixi CD 1
ซูสีไทเฮา Empress Dowager Cixi CD 2จบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)